กระตุ้นเศรษฐกิจ เข้าเป้าก็ได้ผล “คนละครึ่ง” มาดังเอาตอนปลายปีและทำท่าจะได้ต่ออายุไปอีก แม้แรกๆ จะไม่เปรี้ยงปร้างเพราะถูกมองกันอย่างผิวเผินไม่ได้รับความสนใจเท่าใดนัก
คงคิดว่าเป็นโครงการดาดๆ ของรัฐบาลอย่างที่เคยดำเนินการมา ได้ผลบ้าง ไม่ได้ผลบ้าง แล้วก็สรุปว่า “แจกอีกแล้ว”
หากเอาความจริงมาพูดกันถ้าไม่แจกแล้วจะให้ทำอย่างไร
เพราะนี่เป็นวิธีการหนึ่งที่จะหล่อเลี้ยงเศรษฐกิจทั้งระบบให้ลื่นไหลไปได้ เมื่อมีเงินกระจายเข้าสู่มือชาวบ้านและทำให้เกิดการค้าขายครบวงจร
เท่ากับเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ ดีกว่าทุกอย่าง “นิ่งสงบ” ก็ยิ่งจะแย่กันไปใหญ่ เพียงแต่เม็ดเงินที่รัฐบาลสมทบลงไปจนมีเนื้อมีหนังขึ้นมา
หมายถึงวงจรเศรษฐกิจมีการขับเคลื่อนไปในจุดที่ต้องการและมีความจำเป็น
ประเด็นที่มองข้ามไม่ได้ก็คือมุ่งไปที่รากหญ้าและธุรกิจขนาดเล็ก ต่างกับที่ผ่านมาที่ต้องใช้เงินจำนวนมาก
แต่หมุนไปได้ไม่กี่รอบและก็จบตรงที่ธุรกิจขนาดใหญ่
โครงการนี้จึงมุ่งไปที่ฐานรากจริงๆ คือระดับชาวบ้านทั่วไปและการค้าระดับล่าง โดยร้านค้าจะร่วมมือกับรัฐด้วยการลงทะเบียน ซึ่งกระทรวงการคลังจะรับผิดชอบเรื่องนี้โดยตรง
คือชาวบ้านจ่ายครึ่งหนึ่งแล้วรัฐจ่ายให้อีกครึ่งหนึ่ง เพียงแต่ทั้ง 2 ฝ่าย จะต้องลงทะเบียนเท่านั้น การซื้อขายสินค้าก็อยู่ในแวดวงนี้
นั่นเท่ากับว่า ชาวบ้านที่ซื้อสินค้าจ่ายเพียงครึ่งเดียว รัฐสมทบอีกครึ่งหนึ่ง ทำให้ร้านค้าขายสินค้าได้
ทำให้หมุนเวียนกันอย่างครบวงจร
ร้านค้าก็ขายสินค้าได้ ชาวบ้านก็ซื้อสินค้าด้วยราคาเพียง ครึ่งเดียว
จึงไม่ต้องแปลกใจที่โพลสำรวจความเห็นของประชาชนปรากฏว่าได้รับความพึงพอใจจากประชาชนที่ซื้อสินค้าในราคาที่ไม่แพงมากนัก
...
ร้านค้าก็สามารถขายสินค้าได้เพิ่มมากขึ้น
อีกทั้งยังต้องการให้รัฐบาลดำเนินการขยายโครงการนี้ต่อไป และจดทะเบียนร้านค้าเพิ่มมากขึ้น รวมถึงประชาชนเพิ่มมากขึ้น
โครงการนี้ ล่าสุดเมื่อวันที่ 18 พ.ย.63 ปรากฏมีร้านค้าลงทะเบียนกว่า 717,000 ร้านค้า และมีผู้ใช้สิทธิแล้ว 8.773 ล้านคน มียอดการใช้จ่ายสะสม 18,797 ล้านบาท
ประชาชนจ่าย 9,581 ล้านบาท ภาครัฐร่วมจ่ายอีก 9,316 ล้านบาท ยอดใช้จ่ายเฉลี่ย 200 บาทต่อครั้ง
ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างน่าพึงพอใจ
รัฐบาลจะต่อยอดโครงการเพิ่มเติมให้เป็นของขวัญปีใหม่แก่คนไทยทั่วประเทศ ที่สำคัญก็คือประชาชนพึงพอใจค่อนข้างมาก
ถามว่า “คนละครึ่ง” นั้นเป็นไอเดียและแนวคิดของใคร
คำตอบก็คือ “สมคิด และ 4 กุมาร” ที่เตรียมโครงการนี้หวังให้เป็นของขวัญปีใหม่
เพียงแต่ถูกการเมืองในพรรคพลังประชารัฐเล่นงานถึงขับไล่ไสส่งจนต้อง “ลาออก” จากรัฐบาลอย่างไม่เป็นธรรม
พวกกินบุญได้เชิดหน้าชูตาอยู่ในเวลานี้ เพราะหวังแต่อำนาจและผลประโยชน์เท่านั้น
เป็นการเมืองที่น่ารังเกียจและทำให้บ้านเมืองยุ่งยากอย่างที่เห็นๆกันอยู่.
“สายล่อฟ้า”