การปะทะกันระหว่างฝูงชนกับตำรวจ และฝูงชนกับฝูงชน ที่บริเวณหน้ารัฐสภา เมื่อวันที่เปิดอภิปรายการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทำให้มีผู้บาดเจ็บกว่า 40 คน เป็นสัญญาณเตือนทุกฝ่าย ความขัดแย้งทางการเมือง อาจนำไปสู่ความรุนแรง และจบไม่สวย หากทุกฝ่ายไม่ใช้ความอดทนอดกลั้น ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายตำรวจหรือผู้ชุมนุม
มีเสียงวิจารณ์ตำรวจ ที่ฉีดน้ำผสมแก๊สน้ำตาไล่กลุ่มผู้ชุมนุมคณะราษฎร เป็นการกระทำที่เกินสมควรแก่เหตุหรือไม่ มีการกล่าวหาว่ากลุ่มผู้ชุมนุมใช้ความรุนแรงก่อน รวมทั้งวิจารณ์การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อเหลือง สุ่มเสี่ยงต่อม็อบชนม็อบหรือไม่ ที่น่าตกใจมากก็คือ มีการใช้อาวุธปืนด้วย แต่ยังไม่ชัดเจนว่าเป็นของฝ่ายใด
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหน้ารัฐสภา ทำให้กลุ่มคณะราษฎรประกาศชุมนุมใหญ่ที่สี่แยกราชประสงค์ และยกระดับการชุมนุม ไม่ทราบว่าจะเป็นการชุมนุมใหญ่แค่ไหนก่อนหน้านี้ สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ประเมินว่าพลังของคณะราษฎรเริ่มแผ่ว แต่ต้องไม่ลืมว่า สมช.เคยประเมินการชุมนุมเมื่อวันที่ 14 ตุลาคมจะมีคนไม่ถึงหมื่น
แต่กลายเป็นการประชุมครั้งใหญ่ มีฝูงชนเข้าร่วมหลายหมื่นคน สามารถบุกปิดล้อมทำเนียบรัฐบาล และเป็นเหตุหนึ่ง ทำให้รัฐบาลประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรง การชุมนุมกลายเป็นดาวกระจาย ผุดขึ้นทั่ว กทม.และต่างจังหวัด ส่วนการชุมนุมที่สี่แยกราชประสงค์ เดาไม่ถูกว่าจะลุกลามบานปลายหรือว่าจะเหมือนเดิม
แต่ที่ชัดเจนที่สุดก็คือ รัฐบาลยังไม่ได้ทำตามข้อเรียกร้องของคณะราษฎร 3 ข้อ ทั้งการลาออกของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และการปฏิรูปสถาบัน แต่รัฐบาลแสดงท่าทีที่จะแก้หรือจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่อย่างจริงจัง ด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) มารับผิดชอบแม้จะมีปัญหาข้อกฎหมาย
...
แม้คณะราษฎรอาจจะผิดหวัง ที่เสียงข้างมากของรัฐสภาไม่รับหลักการการแก้ไขรัฐธรรมนูญของภาคประชาชนที่เสนอโดยไอลอว์ แต่ ส.ส.บางส่วนอาจช่วยได้ ด้วยการนำข้อแก้ไขของไอลอว์ ส่วนที่เห็นว่าสำคัญเสนอต่อ ส.ส.ร. ทำให้การจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ กลายเป็นการปฏิรูปการเมืองครั้งใหญ่ ที่ประชาชนมีส่วนร่วม
ถ้าการปฏิรูปการเมืองประสบความสำเร็จ เชื่อว่าจะเป็นปัจจัยสำคัญนำไปสู่ความปรองดองสมานฉันท์ การปฏิรูปสถาบันเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เสี่ยงต่อความขัดแย้ง สังคมไทยควรทำสัญญาประชาคมร่วมกัน ห้ามทุกฝ่ายไม่ให้นำสถาบันมาเกี่ยวข้องกับการเมือง เพราะการเมืองคือความขัดแย้ง สถาบันอยู่เหนือการเมือง.