แกนนำราษฎรมากันพร้อมหน้า “ไมค์-รุ้ง-เพนกวิน-ไผ่” นำทีมเปิดเวทีชุมนุมที่ระยอง ประกาศย้ำจุดยืนใน 3 ข้อเรียกร้องหลัก ไม่มีลดเพดานเด็ดขาด เวทีเชียงใหม่ระอุไม่แพ้กัน เด็ก ป.6 ขึ้นเวทีลานข่วงประตูท่าแพขอ “ลุงตู่” ออกไปเถอะ เพื่ออนาคตของคนรุ่นใหม่ บช.น.งัด ก.ม.เล่นงาน นร.เลว แบ่งความผิด 3 ส่วน กลุ่มอาชีวะฯชู 5 นิ้วจี้ รบ.จัดการเด็ดขาดคณะราษฎรจาบจ้วง เสื้อเหลืองอยุธยารุมต้านคณะ ส.ส.ก้าวไกล “พิธา” ขอคุยกันด้วยเหตุผล Free YOUTH นัดรวมพลบุกกดดัน ส.ส.-ส.ว.โหวตรับร่างแก้ รธน. ที่สภา “จุรินทร์” ย้ำจุดยืนแก้แน่ รับไม่คุย “อภิสิทธิ์” มาพักใหญ่แล้ว “องอาจ” ขอ ส.ส.-ส.ว.ร่วมกันผ่าทางตัน พท.จ้องชำแหละรายงาน กมธ. “หญิงหน่อย” ชี้อยู่ที่ “ประยุทธ์” คนเดียว “บิ๊กตู่” เป็นปลื้มบรรลุข้อตกลง RCEP

การเมืองในสภา กับการเมืองนอกสภาทะลุ องศาเดือดพอๆกัน ล่าสุดแกนนำกลุ่มราษฎร ในนามกลุ่มแนวร่วมตะวันออกเพื่อประชาธิปไตย จัดชุมนุมใหญ่ ยืนหยัดใน 3 ข้อเรียกร้องไม่มีการลดเพดาน ล่าสุดกลุ่มเยาวชนปลดแอก นัดชุมนุมใหญ่ปิดล้อมรัฐสภา ในวันที่ 17 พ.ย. กดดัน ส.ส.-ส.ว.ให้รับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้ง 7 ฉบับ

...

“ภราดร” เย้ยเฟกนิวส์ฝ่ายมั่นคง

เมื่อวันที่ 15 พ.ย. พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขานุการคณะกรรมการกิจการพิเศษพรรคเพื่อไทย อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กล่าวถึงกรณีที่ฝ่ายความมั่นคงรายงานในที่ประชุม ครม.ว่า กลุ่มผู้ชุมนุมราษฎรอ่อนแรงลง ว่า ข้อมูลดังกล่าวย้อนแย้งกับโพล และข่าวสารของสื่อมวลชนที่ระบุว่าจำนวนผู้เข้าร่วมชุมนุมมียอดสูงขึ้น และมีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ฝ่ายความมั่นคงคงใช้ปฏิบัติการไอโอเพื่อลดทอนความน่าเชื่อถือของกลุ่มราษฎร แต่เมื่อเป็นข้อมูลที่ไม่เป็นความจริง อาจกลับตาลปัตรกลายเป็นว่าขีดความสามารถในการประเมินภัยของหน่วยความมั่นคงด้อยประสิทธิภาพ เครดิตจะไม่ได้รับความน่าเชื่อถือ การชุมนุมย่อยเมื่อวันที่ 14 พ.ย. ยังต้องใช้กำลังตำรวจ คฝ.ถึง 34 กองร้อย ราว 5 พันคนรับมือ อาวุธที่แข็งแกร่งทรงพลังของราษฎรที่ใช้ในการชุมนุมทุกครั้ง ก็คือข้อมูลที่เป็นความจริง อมตะวาจาที่ว่า “จงทำความจริงให้ปรากฏ แล้วความชั่วร้ายจะหมดไป” ยังคงขลังเสมอ กระแทกหน้านายกฯอย่างต่อเนื่อง จากนั้นราษฎรจะเป็นหัวหอกนำวิถีสู่หนทางการได้นายกฯคนใหม่ในระยะอันใกล้นี้

บช.น.งัด ก.ม.แบ่งความผิด 3 ส่วน

ด้าน พล.ต.ต.ปิยะ ต๊ะวิชัย รอง ผบช.น. กล่าวถึงการดำเนินคดีกับการชุมนุมของกลุ่มม็อบเฟสต์กลุ่มนักเรียนเลว และกลุ่มผู้หญิงปลดแอก ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 14 พ.ย.ว่า แบ่งการกระทำความผิดออกเป็น 3 ส่วน คือ 1.การทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่ตำรวจ 2 นาย ถูกด้ามธงตีศีรษะ 1 นาย มีอาการปวดบวม และอีกรายถูกของแข็งกระแทกที่ใบหน้า ริมฝีปากแตก ใบหน้ามีรอยฟกช้ำ เข้าข่ายข้อหาร่วมกันทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงาน ตาม ป.อาญามาตรา 215 โดยตำรวจทั้ง 2 นายแจ้งความร้องทุกข์ไว้ที่ สน.สำราญราษฎร์ 2.การนำผ้าไปคลุมอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.โบราณสถาน และ พ.ร.บ.ความสะอาด และ 3.ฝ่าฝืนเงื่อนไขที่เจ้าพนักงานได้แจ้งไว้ และความผิดอื่นๆ เช่น การกีดขวางทางจราจร, พ.ร.บ.ความสะอาด

กลุ่มอาชีวะจี้เอาผิดคณะราษฎร

เวลา 16.00 น. ที่ลานคนเมือง ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร กลุ่มอาชีวะปกป้องสถาบัน จัดกิจกรรมแสดงพลังปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ มีอดีตนักศึกษาอาชีวะ ประชาชน และเยาวชนจำนวนหนึ่งเข้าร่วมแสดงออกว่าไม่เห็นด้วยกับกลุ่มคณะราษฎร และกลุ่มเยาวชนปลดแอก ที่ปราศรัยและการแสดงลบหลู่จาบจ้วงล่วงละเมิดสถาบัน สลับการปราศรัยถึงบทบาทพระมหากษัตริย์ที่มีต่อกิจการอาชีวศึกษา รวมทั้งพระราชกรณียกิจของพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน ที่มีต่อประชาชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า นอกจากนี้ กลุ่มอาชีวะฯยังออกแถลงการณ์ เรียกร้องให้คณะราษฎรและเครือข่ายหยุดจาบจ้วงล่วงละเมิดสถาบันที่จะนำไปสู่การเผชิญหน้าของคนในชาติ รวมทั้งขอให้รัฐบาลบังคับใช้กฎหมายอย่างเด็ดขาดให้ถึงที่สุด จากนั้นกลุ่มอาชีวะปกป้องสถาบันมีการถ่ายภาพหมู่ร่วมกัน และชูสัญลักษณ์ 5 นิ้ว หมายถึงขอให้หยุดคุกคามสถาบัน

เสื้อเหลืองอยุธยารุมต้านก้าวไกล

ที่วัดใหญ่ชัยมงคล จ.พระนครศรีอยุธยา นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมนางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ และทีม ส.ส.ของพรรค ลงพื้นที่พบปะประชาชน โดยมี กลุ่มปกป้องสถาบันอยุธยา นำโดยนางกัลยาณี จูปรางค์ นำมวลชนออกมาชูป้ายปกป้องสถาบัน พร้อมตะโกนขับไล่กลุ่ม ส.ส.พรรคก้าวไกล นายพิธาและคณะจึงเดินออกมาพูดคุย ท่ามกลางประชาชนที่มาท่องเที่ยวให้ความสนใจจำนวนมาก โดยนางกัลยาณีบอกกับกลุ่มนายพิธาให้เลิกสนับสนุนการชุมนุม และให้ยกเลิกการปฏิรูปสถาบัน มีการโต้เถียงกันนานกว่า 20 นาที แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น นายธีรัชชัย พันธุมาศ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวว่า เราเข้าใจอารมณ์ของอีกฝ่ายดี อธิบายเหตุผลไปว่าพรรคไม่ได้อยู่เบื้องหลังการชุมนุม สิ่งที่เกิดขึ้นเกิดจากการเรียนรู้ของเยาวชนเองทั้งหมด ความคิดของเยาวชนตอนนี้ ไปไกลกว่าที่จะมีใครไปชี้นำได้แล้ว และเราไม่มีความคิดเรื่องล้มสถาบัน

ฟรียูธนัดรวมพลบุกกดดันสภา

วันเดียวกัน แนวร่วมกลุ่มราษฎรในนามกลุ่มเยาวชนปลดแอก ประกาศจัดกิจกรรมชุมนุมใหญ่ปิดล้อมรัฐสภา กดดันสมาชิกรัฐสภาให้รับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้ง 7 ฉบับ ในวันที่ 17 พ.ย.นี้ พร้อมเชิญชวนให้สมาชิกแนวร่วมกลุ่มต่างๆ มาร่วมชุมนุมผ่านเฟซบุ๊กเยาวชนปลดแอก-Free YOUTH ระบุว่า “17 พ.ย.นี้ รวมพลังปักหลักชุมนุมใหญ่ราษฎรล้อมสภา! ทั้งทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ วันนั้นจะเป็นวันเดียวกับวันที่เริ่มพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้ง 7 ร่าง (รวมไปถึงร่างจากภาคประชาชนซึ่งไม่ปิดกั้นการแก้หมวด 1 บททั่วไป หมวด 2 บทพระมหากษัตริย์) ที่นำไปสู่การปฏิรูปสถาบันให้กลับมาอยู่ใต้รัฐธรรมนูญ พร้อมกัน รัฐสภาเกียกกาย! ตั้งแต่ 15.00 น. ยาวไปจนกว่าขี้ข้าเผด็จการจะยอมลงมติรับหลักการร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน นี่คือช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ของอนาคตประเทศครั้งสำคัญยิ่งอีกครั้ง! ออกมาร่วมกันเพื่ออนาคตที่ดีกว่าของประเทศไทย เพื่ออนาคตที่ดีกว่าของลูกหลานเรา และของพวกเราทุกคน”

เด็ก ป.6 ขึ้นเวทีขอ “ลุงตู่” ออกไป

ช่วงเย็นที่ จ.เชียงใหม่ กลุ่มนักเรียนจากหลายโรงเรียนจำนวนมาก ในนามกลุ่มแนวร่วมนักเรียนเชียงใหม่เพื่อประชาธิปไตย รวมตัวกันที่ลานข่วงประตูท่าแพ อ.เมืองเชียงใหม่ จัดกิจกรรม “เหนือแน่” แสดงออกเชิงสัญลักษณ์ทางการเมือง มีการเปิดเวทีปราศรัยมีแกนนำนักเรียนหลายคนผลัดเปลี่ยนกันขึ้นเวที ที่สร้างความฮือฮาคือ มีเยาวชนเด็กนักเรียนหญิงชั้นประถมปีที่ 6 ขึ้นปราศรัยเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ลาออกจากตำแหน่ง เพื่อเริ่มต้นกระบวนการสู่ประชาธิปไตยอย่างแท้จริง รวมทั้งเรียกร้องให้มีการปฏิรูปประเทศ เพื่ออนาคตของคนรุ่นใหม่ ภายในงานยังมีการตั้งเตาย่างเผากุ้งจำนวน 400 ตัว และอาหารอื่นๆอีกหลายอย่าง แจกจ่ายให้ผู้มาร่วมกิจกรรม มีแฟชั่นโชว์ การแสดงดนตรีและศิลปะในรูปแบบต่างๆ รวมทั้งยังมีการออกบูธจำหน่ายเสื้อ และสินค้าที่ระลึก

“ไมค์-รุ้ง” เปิดเวทีชุมนุมที่ระยอง

ต่อมาเวลา 16.00 น. ที่สวนสุขภาพบ้านฉาง อ.บ้านฉาง จ.ระยอง กลุ่มแนวร่วมตะวันออกเพื่อประชาธิปไตย นำโดยนายภานุพงศ์ จาดนอก หรือ “ไมค์ ระยอง” น.ส.ปนัสยา หรือ “รุ้ง” สิทธิจิรวัฒนกุล จัดกิจกรรมแสดงออกทางการเมือง เพื่อเน้นย้ำจุดยืนในข้อเรียกร้อง 3 ข้อ ไม่มีการลดเพดานเด็ดขาด มีกลุ่มแนวร่วมทยอยเดินทางเข้าร่วม ทั้งนี้ห่างออกไปประมาณ 500 เมตร ที่หน้าวัดบ้านฉาง มีกลุ่มเสื้อเหลือง นำโดย น.ส.ประไพ สาธิตวิทยา ตัวแทนกลุ่มปกป้องสถาบัน นัดมวลชนมาแสดงพลังปกป้องสถาบัน ท่ามกลางการระดมกำลังของเจ้าหน้าที่ตำรวจ 2 กองร้อย มาดูแลสถานการณ์

ตอกย้ำยืนหยัดจุดยืน 3 ข้อหลัก

จากนั้นช่วงค่ำ แกนนำกลุ่มราษฎรเริ่มทยอยขึ้นเวทีปราศรัย อาทิ น.ส.ปนัสยา หรือ “รุ้ง” กล่าวว่า วันนี้เป็นวันแรกที่ขึ้นปราศรัยหลังออกจากคุก เรายังคงยืนหยัดใน 3 ข้อเรียกร้องหลัก และถึงเวลาแล้วที่ต้องปฏิรูปใน 10 ข้อ ขณะที่นายพริษฐ์ หรือเพนกวิน ชิวารักษ์ ปราศรัยว่า วันนี้กลับมาบ้านพี่ไมค์ ระยอง ต้องการย้ำประเด็นการต่อสู้ของพวกเรา ตอนนี้การต่อสู้ ประชาชนพร้อมจิตพร้อมใจกัน ถึงเวลาแล้วที่ต้องรุกคืบตอกย้ำให้มั่นกับพี่น้องชาวระยอง ใน 3 ข้อ ทั้งนี้ ยังมีแกนนำคนอื่นที่ร่วมชุมนุมด้วย ได้แก่ นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ“ไผ่ ดาวดิน” “เอมมี่ เดอะบอตทอม บลูส์” “ทราย เจริญปุระ” “ก๊ก นันทพงศ์ ปานมาศ” และ “ณัฐชนน พยัฆพันธ์”

“จุรินทร์” ย้ำจุดยืนลุยแก้ รธน.

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการประชุมร่วมรัฐสภาวันที่ 17-18 พ.ย. เพื่อพิจารณาญัตติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า ยืนยันว่าพรรคพร้อมสนับสนุนทั้งร่างของพรรคร่วมรัฐบาล และของฝ่ายค้าน และจะลงมติเป็นไปในทิศทางเดียวกันตามที่ตกลงกันไว้ ส่วนร่างของไอลอว์ ขอให้เป็นหน้าที่ของวิปไปหารือกัน ส่วนกรณี ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และ ส.ว.บางส่วน เข้าชื่อยื่นส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น เรื่องนี้ยังต้องผ่านอีกหลายด่าน การจะตรวจสอบว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ ยังสามารถทำได้ภายหลังการพิจารณาวาระ 3 ก่อนนำขึ้นทูลเกล้าฯ เพราะรัฐธรรมนูญเปิดช่องทางไว้ แต่ถือเป็นสิทธิ์ของสมาชิกหากจะยื่น ที่นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรค พปชร. ระบุว่าหากรอยื่นหลังผ่านวาระ 3 จะเกิดความล่าช้านั้น เป็นความเห็นของแต่ละบุคคล

รับไม่คุย “อภิสิทธิ์” มาพักใหญ่

ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกฯ และอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวในวงเสวนาถึงการหาช่องทางออกจากแคนดิเดตนายกฯในโควตาพรรคประชาธิปัตย์ นายจุรินทร์ตอบว่า ยังไม่ทราบ ยังไม่เคยหารือกับนายอภิสิทธิ์ ไม่ค่อยได้เจอกันในช่วงระยะหลัง

ขอ ส.ส.–ส.ว.ร่วมกันผ่าทางตัน

นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคและประธาน ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า วันที่ 16 พ.ย. ได้เชิญ ส.ส.ของพรรคร่วมประชุมเพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้ง 7 ร่าง ทั้งนี้รัฐสภามีการอภิปรายไปแล้ว 6 ร่าง จึงจะไม่มีการอภิปรายอีก ส่วนร่างที่เสนอใหม่ คือร่างไอลอว์ จะมีการอภิปรายก่อนลงมติว่าจะรับหรือไม่รับร่างฉบับใดบ้าง ส่วนข้อวิตกกังวลว่าอาจถูกตีตกหมดนั้น ต้องรอจนถึงเวลาลงมติ อะไรก็อาจเกิดขึ้นได้ เพราะมี ส.ว.ร่วมกับ ส.ส.พปชร. เข้าชื่อส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ จึงไม่มีใครให้หลักประกันได้ว่าจะมีการลงมติหรือไม่ และผลจะออกมาอย่างไร อาจมีเหตุอภินิหารที่ไม่มีใครคาดคิดก็ได้ เหมือนที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว แต่ถ้าไม่มีอภินิหารอะไร อย่างน้อยที่สุดร่างของรัฐบาลและฝ่ายค้านน่าจะผ่านไปได้ แต่ขึ้นอยู่ว่าจะมีเสียง ส.ว. 84 เสียง ลงมติให้ผ่านหรือไม่ การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นวาระสำคัญของบ้านเมือง ถ้าตัดสินใจผิดอาจทำให้ประเทศติดหล่มจมปลักอยู่กับความขัดแย้งจนยากจะเยียวยา โดยเฉพาะส.ส. ส.ว. ผู้มีบทบาทสำคัญจะใช้เวทีรัฐสภาหาทางออก หรือสร้างทางตันได้ ฝากทุกฝ่ายคิดถึงประโยชน์ของส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตน และพวกพ้อง

“นิพิฏฐ์” แซะกัลยาณมิตร “บิ๊กตู่”

ด้านนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า “สมัยคุณทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี เคยพูดทั้งในและนอกสภาว่า คุณทักษิณต้องพยายามสร้างกัลยาณมิตร ตอนนั้นขวามือคุณทักษิณมีจตุพร ซ้ายมือมีณัฐวุฒิ หน้ามีวีระ หลังมีหมอเหวง สุดท้ายอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ของคุณทักษิณล่มสลาย มาวันนี้อาณาจักร พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ขวามือมีสิระ ซ้ายมีปารีณา หน้ามีธรรมนัส หลังมี ดร.วิษณุ วันดีคืนดี คู่พระ-คู่นางออกมาระรานชาวบ้าน ออกมาแขวะนายชวน หลีกภัย ออกมาแขวะนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ทั้งที่ทุกคนอดทนพยายามช่วยเหลือให้ประเทศผ่านวิกฤติไปให้ได้ พล.อ.ประยุทธ์อาจนั่งยิ้มสบายใจว่านับวันเพื่อนพ้องน้องพี่ของท่านมีมากขึ้นตามลมปากของกัลยาณมิตรที่อยู่รอบตัว ก็ได้แต่อวยพรให้ พล.อ.ประยุทธ์เหมือนที่เคยอวยพรให้คุณทักษิณ ว่าเมื่อท่านมีกัลยาณมิตรอย่างนี้ ก็ขอให้ท่านโชคดี”

พท.จ้องชำแหละรายงาน กมธ.

ที่พรรคเพื่อไทย นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวว่าพรรคเตรียมผู้อภิปรายของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาก่อนรับหลักการร่างรัฐธรรมนูญไว้แล้ว ฝ่ายค้านจะใช้เวทีนี้สะท้อนให้เห็นว่าการตั้งกรรมาธิการชุดดังกล่าวไม่มีประโยชน์ เสียเวลา สิ้นเปลืองงบประมาณ อีกเรื่องคือการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนของไอลอว์ ประเด็นนี้พรรคเพื่อไทยจะรับฟังความคิดเห็นของ ส.ส.ในการประชุมพรรควันที่ 16 พ.ย. เพื่อนำเป็นแนวทางไปสู่การพิจารณาของสภาต่อไป เมื่อถามถึงกรณีนายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เตรียมยื่นตรวจสอบรายชื่อประชาชนที่เข้าชื่อกับไอลอว์ นายประเสริฐตอบว่า วันนี้ประชาชนเข้าชื่อกันแสนกว่ารายชื่อ ถ้าจะมีผิดพลาดอะไรบ้างสี่ห้าร้อยรายชื่อก็เกินกว่ากรอบที่กฎหมายกำหนดแล้ว คิดว่าไม่มีผลอะไร ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญดังกล่าวยังสามารถนำเข้าสู่การพิจารณาได้อยู่

แก้ รธน.ได้ไหมอยู่ที่ “ประยุทธ์”

ที่ตลาดนัดจตุจักร คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า รัฐบาลโดยเฉพาะนายกฯที่เป็นศูนย์กลางความขัดแย้ง สามารถคลี่คลายความขัดแย้งได้ ง่ายที่สุดคือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ รัฐบาลแสดงความไม่จริงใจมาหลายครั้ง ทั้งการตั้งคณะกรรมาธิการเพื่อศึกษาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญก่อนรับหลักการ กรณีส.ส.พปชร.และ ส.ว.บางส่วน เข้าชื่อยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ วันที่ 17 พ.ย.นี้ ถือเป็นโอกาสสุดท้ายที่จะวัดความจริงใจของนายกฯ จะแก้ไขรัฐธรรมนูญได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับนายกฯเพียงผู้เดียว แม้จะอ้างว่าขึ้นอยู่กับสภา แต่หากท่านมีความจริงใจ เชื่อ ส.ส.พปชร.ที่เข้าชื่อยื่นตีความ จะถอนรายชื่อออกทั้งหมด และ ส.ว.จะให้ผ่านร่างรัฐธรรมนูญ

เลือกนายกฯใหม่เอาในตะกร้า

คุณหญิงสุดารัตน์ยังกล่าวถึงกรณีศาลรัฐธรรมนูญนัดอ่านคำวินิจฉัยคุณสมบัติ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและ รมว.กลาโหม กรณีพักบ้านพักหลวง ในวันที่ 2 ธ.ค.ว่า ทุกอย่างขึ้นอยู่กับศาลรัฐธรรมนูญ คดีนี้เป็นคดีที่ประชาชนให้ความสนใจ ต้องมีการพิจารณาถึงความเสี่ยง เพราะจะสามารถเพิ่มความขัดแย้งหรือลดการขัดแย้งลงได้ และถ้าต้องเลือกนายกฯคนต่อไปก็ควรเลือกในรัฐสภา อย่าเพิ่มปัญหาความขัดแย้ง และไม่ควรนำคนนอกมารับตำแหน่งนายกฯ

“ศรีฯ” มวยวัดสอบร่างไอลอว์

นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย กล่าวว่า วันที่ 16 พ.ย. จะไปยื่นคำร้องต่อประธานรัฐสภา เพื่อขอตรวจสอบหลักฐานการยืนยันรายชื่อประชาชนที่เข้ายื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนของไอลอว์ ว่าครบตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมายมาตรา 14 หรือไม่ และมีผู้ใดลงลายมือชื่อปลอมในเอกสารหรือไม่

จี้ ภท.–ปชป.ลดความโกรธม็อบ

นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า กล่าวถึงกรณีกลุ่มคณะราษฎรนัดชุมนุมที่หน้ารัฐสภาวันที่ 17 พ.ย.ว่า เรื่องนี้ไม่น่ากังวล แต่ที่น่ากังวลคือเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญมากกว่า เชื่อว่าสุดท้ายถ้าไม่มีการแก้ไขจะทำให้ความโกรธของผู้ชุมนุมสูงขึ้น ทำให้สถานการณ์น่ากังวลมากขึ้น ขอร้องพรรคภูมิใจไทย และพรรคประชาธิปัตย์ ดำเนินการตามที่เคยหาเสียงไว้ ส่วนข้อกังวลม็อบชนม็อบ เชื่อมั่นในวุฒิภาวะของแกนนำกลุ่มราษฎร ว่าจะไม่มีการใช้ความรุนแรง และมีวุฒิภาวะไม่นำไปสู่ความวุ่นวาย แต่มองว่าเป็นความพยายามรัฐบาลในการสร้างเงื่อนไขเพื่อให้เกิดการรัฐประหาร แต่ถ้ามีรัฐประหารครั้งนี้เชื่อว่าเหตุการณ์จะจบลงแบบไม่เหมือนเดิม

“ไพบูลย์” ฟันฉบับไอลอว์ส่อแท้ง

ขณะที่นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า เท่าที่ฟังเสียงสมาชิก ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของฝ่ายค้าน และของรัฐบาล น่าจะได้เสียงสนับสนุนเพียงพอ ส่วนร่างที่เหลือเสียงสนับสนุนน่าจะไม่พอ ส่วนตัวจะโหวตรับหลักการเห็นชอบกับ 2 ร่างนี้ ส่วนร่างฉบับไอลอว์ มีเสียงทักท้วงมากตั้งแต่หลักการ ส่วนตัวตีความว่าขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 255 ประกอบมาตรา 256 วรรค 1 (1) ไม่สามารถ นำเข้ามาพิจารณารับหลักการได้

“ชวน” สะกิด “พรเพชร” ผวาเกิน

ผู้สื่อข่าวรายงานจากรัฐสภาว่า เมื่อวันที่ 10 พ.ย.ที่ผ่านมา สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภามีหนังสือเชิญผู้เกี่ยวข้องของฝั่งเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เพื่อหารือเตรียมความพร้อมรองรับสถานการณ์การประชุมร่วมรัฐสภาในวันที่ 17-18 พ.ย. โดยมี พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ส.ว. ที่ได้รับมอบหมายจากนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา ให้เป็นประธานการประชุม โดยที่ประชุมได้กำหนดแนวทางของแผนรักษาความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่แต่ละหน่วยอย่างละเอียด อาทิ การจัดตั้งกองอำนวยการบริหารเหตุการณ์ แผนการปฏิบัติทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ ความรับผิดชอบ การวางกำลังตำรวจควบคุมฝูงชน เป็นต้น แต่หลังนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ทราบเรื่อง ได้เซ็นด้วยลายมือกำกับท้ายหนังสือด่วนที่สุด ลงวันที่ 11 พ.ย. แค่เพียงว่า “ทราบ ไม่ประมาท แต่อย่ากลัวเกินเหตุ ดูความเรียบร้อยภายในรัฐสภาตามปกติ ภายนอกสภาเป็นภารกิจของรัฐบาลดูแล” ทั้งนี้เป็นที่น่าแปลกใจจากท่าทีและความกระตือรือร้นของวุฒิสภาในครั้งนี้ เพราะปกติแล้วหน้าที่รับผิดชอบหลักในการดูแลรักษาความปลอดภัยสำหรับการประชุมร่วมรัฐสภาทุกครั้ง จะเป็นของสภาผู้แทนราษฎรอยู่แล้ว

“อังคณา” ชี้ ก.ม.บังคับสูญหายไร้ค่า

เวลา 13.00 น. ที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร เครือข่ายประชาชนผู้เป็นเจ้าของแร่ (PPM) จัดเสวนาหัวข้อ “แด่นักสู้ผู้จากไป ประชาธิปไตยแบบไหน ที่จะไม่ลอยนวลพ้นผิด” โดยนางอังคณา นีละไพจิตร อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) กล่าวว่า ที่ผ่านมามีคนสูญหายมากมาย แต่ประเทศไทยไม่มีการบังคับคดีเรื่องการสูญหาย และค้นหาความจริง จึงไม่เชื่อมั่นว่าภายใต้รัฐบาลที่ไม่เป็นประชาธิปไตย จะออกกฎหมายคุ้มครองสิทธิมนุษยชนได้ เมื่อคนกระทำความผิดเป็นเจ้าหน้าที่รัฐจึงไม่ง่ายเลยในการดำเนินคดี และไม่มีการคุ้มครองพยาน เราจะปล่อยให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้หรือ ไม่ว่ารัฐบาลเผด็จการหรือรัฐบาลประชาธิปไตยล้วนแต่มีการละเมิดสิทธิ แต่กลไกรัฐบาลประชาธิปไตยการตรวจสอบจะเข้มแข็งกว่า สิ่งสำคัญเราจำเป็นต้องแก้รัฐธรรมนูญ แต่การเมืองเป็นแบบนี้ เราต้องทำหน้าที่ของเรา เพราะเราคือ พยานการละเมิดสิทธิฯที่เกิดขึ้น เพื่อมอบสังคมให้คนรุ่นใหม่ที่พูดได้โดยไม่กลัว และรัฐต้องดูแลทุกคนให้มีความปลอดภัยเท่ากัน

หวังต่อไปต้องไม่มีใครอยู่เหนือ ก.ม.

น.ส.จุฑาทิพย์ ศิริขันธ์ แกนนำกลุ่มเยาวชนปลดแอก กล่าวว่า สังคมไทยมีปัญหาเรื่องความเท่าเทียม กลุ่มคนรุ่นใหม่จึงออกมาเรียกร้องผ่านการเคลื่อนไหวต่างๆ แถมบางคนยังถูกทำร้าย และสูญหาย พวกเราต้องการเรียกร้องการพูดคุยและประชาธิปไตย เพื่อให้สังคมอยู่ร่วมกันได้ แตกต่างจากผู้มีอำนาจที่ออกมาพูดว่าอยากให้มีการประนีประนอมแต่ความอยุติธรรม และสิทธิมนุษยชนประนีประนอมไม่ได้ ดังนั้น ข้อเรียกร้องของเยาวชนคนรุ่นใหม่จึงถูกต้อง ประเทศไทยยังไม่เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง เด็กเรียกร้องเคลื่อนไหวเพื่อให้การเมืองดีขึ้น เพื่อสร้างรัฐสวัสดิการ แต่รัฐกลับปิดกั้นการแสดงออก มีเจ้าหน้าที่มาเช็กประวัติข้อมูลนักศึกษา เราต้องการสร้างสังคมที่พูดคุยกันได้ และพื้นที่ปลอดภัย เราต้องเติบโตไปในอนาคต ตอนนี้สังคมยังบิดเบี้ยวไม่หยุด ข้อเรียกร้องเราต้องเกิดผลไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ในอนาคตเราอยากเห็นประเทศไปได้ไกลกว่านี้ ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมายและรัฐธรรมนูญ

“ธนาธร” สกัดอนุรักษนิยมรุกคืบ

ด้านนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะ ก้าวหน้า กล่าวอีกครั้งว่า เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า คุณูปการของบุคคลเหล่านี้ไม่ได้รับการพูดถึง เพราะเราเพิกเฉยกับความอยุติธรรมที่เกิดขึ้น หลายกรณีที่ผู้กระทำผิดไม่เคยถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย สิ่งที่เกิดขึ้นชี้ว่าประชาชนไม่ได้มีความหมายไร้ค่าในสายตาชนชั้นนำ ขอเสนอสิ่งที่ต้องทำ 3 ประเด็นคือ 1.ต่อสู้เชิงประเด็นให้เป็นวาระเชิงสังคมมากขึ้น 2. ต่อสู้เชิงระบบ เพื่อให้ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจ เจ้าของทรัพยากรอย่างแท้จริง การปฏิรูประบบราชการ กระบวนการยุติธรรม รวมถึงการสร้างรัฐสวัสดิการ และ 3.ต่อสู้เชิงวัฒนธรรม ที่ต้องปลูกฝังค่านิยมพลเมืองร่วมกัน ว่าการเมืองไม่ใช่เรื่องสกปรก แต่ เป็นเรื่องของเราทุกคน การสร้างวาทกรรมการเมืองเป็นเรื่องสกปรก ให้คนไม่สนใจการเมือง เพื่อตัวเองจะรักษาโครงสร้างอำนาจ เราต้องไม่ให้วัฒนธรรมอนุรักษนิยม อำนาจนิยม คืบเข้ามาอีก เราจึงต้องช่วยกันทุกมิติ

ยูเอ็นเคียงข้างอาเซียนทุกมิติ

วันเดียวกันเวลา 09.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-สหประชาชาติ ครั้งที่ 11 ผ่านระบบทางไกล โดยประเทศเวียดนามเป็นเจ้าภาพมีผู้นำและผู้แทนประเทศสมาชิกอาเซียน 10 ประเทศ และนายอันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ ร่วมหารือ เป็นการประชุมเพื่อรับทราบความคืบหน้าและทบทวนความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับสหประชาชาติ รวมทั้งการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการ 5 ปี ตามปฏิญญาร่วมว่าด้วยความเป็นหุ้นส่วนที่ครอบคลุมระหว่างอาเซียนกับสหประชาชาติ ปี ค.ศ.2016-2020 และรับทราบแผนปฏิบัติการฯฉบับใหม่ ปี ค.ศ.2021-2025 โดยเลขาธิการสหประชาชาติกล่าวยืนยันว่ายูเอ็นพร้อมเคียงข้างอาเซียนในทุกมิติ พร้อมกล่าวย้ำสนับสนุนยุทธศาสตร์การฟื้นฟูของอาเซียน การสนับสนุนให้วัคซีนโควิด-19 เป็นสินค้าสาธารณะ การยึดมั่นในความร่วมมือในการรักษาสันติภาพ เพื่อความมั่นคง ตลอดจนความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ

บรรลุลงนาม RCEP หุ้นส่วน ศก.

ต่อมาเวลา 10.30 น. พล.อ.ประยุทธ์ร่วมการประชุมสุดยอดความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค ครั้งที่ 4 (Regional Comprehensive Economic Partnership: RCEP) โดยนายเหวียน ซวน ฟุก นายกรัฐมนตรีเวียดนาม กล่าวว่า เป็นการรับฟังรายงานผลความสำเร็จของการเจรจาและร่วมเป็นสักขีพยานการลงนามความตกลงอาร์เซ็ป (RCEP) ร่วมกับผู้นำและผู้แทนของประเทศสมาชิกอาร์เซ็ป ทั้ง 15 ประเทศ และสมาชิกอาร์เซ็ปได้แสดงเจตจำนงที่จะลงนามในความตกลง ยินดีที่ได้เห็นความพยายามของประเทศสมาชิกในการเจรจาร่วมกันมาตลอดระยะเวลากว่า 8 ปี ความตกลงอาร์เซ็ปถือเป็นการส่งเสริมการค้าเสรีที่ใหญ่ที่สุดในโลก และถือเป็นการส่งสัญญาณให้ทั่วโลกได้เห็นถึงความร่วมมือในการฟื้นฟูเศรษฐกิจร่วมกัน

ฟุ้งข้อตกลงฉบับประวัติศาสตร์

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวถ้อยแถลงว่า ข้อตกลงอาร์เซ็ปถือเป็นความตกลงการค้าเสรีฉบับประวัติศาสตร์ เป็นความตกลงการค้าเสรีที่ใหญ่ที่สุดในโลกมีคุณภาพมาตรฐานสูง และมีนัยสำคัญต่อการยกระดับความสามารถในการแข่งขัน และผลประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ของทุกประเทศ เชื่อว่าการรวมตัวกันของประเทศสมาชิกจะเสริมสร้างให้ภูมิภาคอาร์เซ็ปมีสภาวะแวดล้อมที่เอื้ออำนวยและดึงดูดการค้าการลงทุนจากทั่วโลก ทำให้ประเทศสมาชิกมีความสามารถรับมือกับปัญหาความท้าทายทางเศรษฐกิจได้มากขึ้นในอนาคต รวมทั้งจะเป็นเครื่องมือขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกไปสู่การค้าที่เสรีมากขึ้น ส่งผลให้ภูมิภาคและประชาชนของพวกเราได้รับประโยชน์เท่าเทียม จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ได้ร่วมพิธีลงนามความตกลงหุ้นส่วนอาร์เซ็ปในส่วนของไทย มีนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์ เป็นผู้ลงนาม นายกฯเป็นสักขีพยาน ต่อมา พล.อ.ประยุทธ์เข้าร่วมพิธีปิดการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 37 นายกฯเวียดนามได้กล่าวถ้อยแถลงและส่งมอบค้อนประธานอาเซียนให้แก่เอกอัครราชทูตบรูไนประจำเวียดนาม และสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบรูไนฯ ทรงกล่าวถ้อยแถลงตอบ

ภาครัฐ–เอกชนเร่งเรียนรู้ปรับตัว

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯและ รมว.พาณิชย์ กล่าวภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมอาร์เซ็ปครั้งที่ 4 ผ่านระบบการประชุมทางไกลที่เวียดนามเป็นเจ้าภาพว่า ถือเป็นประวัติศาสตร์สำคัญ เพราะสมาชิกอาร์เซ็ป 15 ประเทศ ประกอบด้วยอาเซียน 10 ประเทศ และจีน ญี่ปุ่น เกาหลี ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ทำให้อาร์เซ็ปกลายเป็นกลุ่มความตกลงทางการค้าการลงทุนที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) คิดเป็น 1 ใน 3 ของโลก และมีประชากรรวมกัน 1 ใน 3 ของโลกด้วย โดยผู้นำอาร์เซ็ปมอบหมายให้เจ้าหน้าที่เร่งกระบวนการภายในสำหรับการให้สัตยาบันความตกลง เพื่อให้ความตกลงมีผลใช้บังคับโดยเร็ว ทั้งนี้ยังคงเปิดโอกาสให้อินเดียกลับมาเข้าร่วมความตกลงในฐานะเป็นสมาชิกดั้งเดิม เรายังหวังว่าอินเดียจะสามารถเข้ามาร่วมได้ในอนาคต ทั้งนี้ ภาคเอกชนไทยและภาครัฐต้องเร่งเตรียมตัว ปรับตัว รวมทั้งเร่งศึกษากฎระเบียบต่างๆที่เกี่ยวข้อง

รบ.ยาหอมขอฟังคนเห็นต่าง

ด้านนายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน และการประชุมผู้นำที่เกี่ยวข้องตลอด 4 วัน แต่ละประเทศหยิบยกการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังวิกฤติโควิด-19 หารือร่วมกัน รัฐบาลอยากเชิญชวนกลุ่มผู้เห็นต่างทุกกลุ่มร่วมเสนอแนวทางแก้ปัญหาด้านอื่นที่เป็นประโยชน์ อย่างการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ยินดีรับฟังข้อเสนอ แนวคิดใดดีเหมาะสม รัฐบาลพร้อมนำมาปฏิบัติให้เกิดเป็นรูปธรรม ส่วนการแสดงความคิดเห็นต่างทางการเมืองรัฐบาลไม่คิดปิดกั้น เพียงแต่อยากเห็นการชุมนุมสร้างสรรค์ เคารพกฎหมาย ไม่ขัดต่อขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดีงาม ข้อเรียกร้องต่างๆ รวมทั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ต้องดำเนินการด้วยกลไกของรัฐสภา ตามระบอบประชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน

พท.ฉะ รบ.ฟังหูซ้ายทะลุหูขวา

ขณะที่ น.ส.อรุณี กาสยานนท์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงท่าทีรัฐบาลที่ยื่นข้อเสนอให้กลุ่มเห็นต่างเสนอแนวทางแก้ปัญหาด้านเศรษฐกิจ ว่า เป็นเพียงข้ออ้างซื้อเวลาหวังผลลดแรงกดดัน และสร้างความชอบธรรม เป็นปฏิบัติการไอโอนำไปเบี่ยงประเด็นจากสถานการณ์ชุมนุมเท่านั้น ที่ผ่านมาพรรคฝ่ายค้าน ผู้ชุมนุม และนักวิชาการ ได้เสนอทางออกด้านการเมืองและเศรษฐกิจมาตลอด แต่รัฐบาลไม่เคยได้ยิน 6 ปีที่ผ่านมาคือบทพิสูจน์การบริหารประเทศที่ปราศจากการรับฟังเสียงของสังคม โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจไทยที่อยู่ในขั้นตกต่ำที่สุด ขณะที่ ส.ส. และ ส.ว.หลายคน ยังทำตัวเป็นปรปักษ์ต่อประชาชน ทั้งหมดแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลนี้ไร้ความสามารถ ไร้ประสิทธิภาพ ทางออกเดียวคือการเสียสละลาออกของ พล.อ.ประยุทธ์ ท่านออกมาให้สัมภาษณ์หลายครั้งว่าไม่อยากเป็น ไม่ยึดติดตำแหน่ง แต่ก็ไม่ลาออกเสียที ยิ่งอยู่ยิ่งเสื่อมถอย และถ่วงประเทศ

ชงปรับนโยบายรับ “โจ ไบเดน”

นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย และ ผอ.ศูนย์นโยบายและวิชาการพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ของนายโจ ไบเดน ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ขณะที่ด้านการค้าระหว่างประเทศ ที่สงครามการค้ามีท่าทีตึงเครียดน้อยลง ส่งผลดีกับไทย ประเมินว่าการส่งออกของไทยไปสหรัฐฯในปี 2564 จะกลับมาขยายตัวร้อยละ 10-15 อีกทั้งสหรัฐฯวางแผนลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน และขยายเครือข่ายระบบ 5G รัฐบาลไทยควรให้การสนับสนุนการลงทุน ผลิต และต่อยอดนวัตกรรมผลิตภัณฑ์เหล่านี้ให้มากขึ้น เน้นบทบาทภาครัฐเชิงรุก และด้านสิ่งแวดล้อม ไทยควรหันมาลงทุนด้านพลังงานสะอาดอย่างจริงจัง ไทยจะสามารถหารายได้จากประเทศคู่ค้ารายใหญ่ เช่น สหรัฐฯได้อีกมาก

โวยผู้สมัครที่พะเยาโดนคุกคาม

อีกเรื่อง นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า กล่าวว่า การลงพื้นที่ช่วยผู้สมัครท้องถิ่นหาเสียงแต่ถูกขัดขวางจากกลุ่มที่เห็นต่างว่า ไม่ได้ท้อถอยยังเดินหน้าต่อ เรากำลังต่อสู้กับอิทธิพลในพื้นที่ของการเมืองระดับท้องถิ่น หลายจังหวัดที่เราส่งผู้สมัครถูกผูกขาดมายาวนาน ช่วงเช้าก็ได้รับแจ้งว่าผู้สมัครสมาชิก อบจ.ในพื้นที่ จ.พะเยา ถูกข่มขู่คุกคาม เมื่อเช้าลงพื้นที่ จ.สมุทรปราการ มีประชาชนบอกกับตนว่าเข้าใจ แต่อย่าพูด เพราะกลัวโดนยิง จึงถามว่าเราจะเอาการเมืองที่คุกคามด้วยอิทธิพลด้วยความกลัวต่อไปอย่างนั้นหรือ แม้จะมีการต่อต้านตอนลงพื้นที่ ก็ไม่ทำให้ตนและคณะก้าวหน้าหวาดกลัว จะเดินรณรงค์ต่อไป ต้องไม่ปิดกั้นสิทธิเสรีภาพของกันและกัน ให้ประชาชนตัดสินใจน่าจะเป็นทางออกให้ประเทศดีที่สุด ส่วนกรณีที่ กกต.เตรียมตรวจสอบตามคำร้องของนายศรีสุวรรณ จรรยา ว่ามีกระทำการเลียนแบบพรรคการเมืองนั้น เชิญเลย จะทำอย่างไรก็ทำ อยากจะตัดสินหรือทำอะไรก็คงเป็นหน้าที่ของพวกเขา เราทำงานของเราให้เต็มที่ ทำทุกวันที่เหลืออยู่ให้เต็มที่