ส.ส.พรรคฝ่ายค้านบางคนวิจารณ์ว่า รัฐบาลยืมมือ ส.ว.เพื่อออก พ.ร.บ.การออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ ให้เป็นไปตามความต้องการของตน ด้วยการตีตราว่าร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว เป็นกฎหมายเกี่ยวกับการปฏิรูปประเทศ จึงเสนอที่ประชุมร่วมกันของ “รัฐสภา” ให้ ส.ว.ร่วมประชุมกับ ส.ส. ต่างจากร่างกฎหมายปกติ
ถ้าเป็นร่าง พ.ร.บ.ปกติ จะเสนอให้ สภาผู้แทนราษฎรพิจารณา และให้ความเห็นชอบ ก่อนเสนอวุฒิสภา แต่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมาย ชี้แจงว่า เหตุที่ให้ ส.ว.ร่วมประชุมกับ ส.ส. เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ประชามติ เพราะต้องการให้มีกฎหมายประชามติโดยเร็ว เพื่อเร่งรัดแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไรก็ตาม แต่จากนี้ไป เราอาจได้เห็นการเสนอร่าง พ.ร.บ.ที่ลัดขั้นตอน ให้ ส.ว.ร่วมประชุมพิจารณากับ ส.ส. ในที่ประชุม “รัฐสภา” มากขึ้น เพราะวิธีการนี้เป็นกลไกสำคัญอย่างหนึ่งในการสืบทอดอำนาจของคณะรัฐประหาร ตามรัฐธรรมนูญ 2560 ที่ลอกเลียนจากรัฐธรรมนูญ 2521
รัฐธรรมนูญ 2521 เป็นฉบับประชาธิปไตยครึ่งใบขนานแท้และดั้งเดิม ทำให้คณะรัฐประหารสืบทอดอำนาจนานนับสิบปี โดยใช้ ส.ว.ที่มาจากการแต่งตั้งของคณะรัฐประหาร เป็นกลไกค้ำจุนอำนาจ เช่นให้ ส.ว.ประชุมร่วมกับ ส.ส. ในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี และร่วมลงมติการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล
มาตรการสำคัญในการสืบทอดอำนาจอีกอย่างของรัฐธรรมนูญ 2521 ก็คือ ให้ ส.ว.ร่วมประชุมกับ ส.ส. ในการพิจารณา พ.ร.บ.ที่รัฐบาลแจ้งว่าเป็นกฎหมายสำคัญที่เกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศ ราชบัลลังก์ และเศรษฐกิจ ทำให้รัฐบาลตรากฎหมายสำคัญๆเพื่อบริหารประเทศได้ โดยอ้างว่าเป็น “กฎหมายสำคัญ”
รัฐบาลที่มาจากคณะรัฐประหาร สามารถสืบทอดอำนาจได้นานนับสิบๆปี โดยใช้รัฐธรรมนูญและ ส.ว.เป็นกลไกสำคัญ รัฐบาลในขณะนั้นแทบจะไม่ง้อ ส.ส.ด้วยซ้ำ เพราะไม่มีพรรคใดได้เสียงข้างมาก ส.ว.กลายเป็น “พรรค” ใหญ่ที่สุดในสภา เช่นเดียวกับรัฐสภาปัจจุบัน 250 ส.ว. เป็นพรรคที่ใหญ่ที่สุดในสภา
...
จึงไม่น่าแปลกใจ ถ้ารัฐบาลจะอ้างว่าร่างกฎหมายฉบับใดก็ตาม เป็นกฎหมายเกี่ยวกับ “การปฏิรูปประเทศ” ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 270 เพื่อให้ 250 ส.ว.ลงมติร่วมกับ ส.ส. รัฐบาลมีสิทธิที่จะทำได้ ชัดเจนที่สุดคือร่าง พ.ร.บ.ประชามติ บางคนอาจเห็นว่าเกี่ยวข้องกับการปฏิรูปด้วยหรือ แต่ผู้ที่มีอำนาจชี้ขาดคือคณะรัฐมนตรี.