"วันชัย" ดีเบต "รังสิมันต์ โรม" ถกประเด็นร้อนถึงความเป็นไปได้ที่จะรับฟังข้อเสนอของผู้ชุมนุมได้มากน้อยแค่ไหน ในรายการถามตรงๆ กับจอมขวัญ

วันที่ 6 พฤศจิกายน 2563 ในรายการถามตรงๆ กับจอมขวัญ ได้พูดคุยกับ นายวันชัย สอนศิริ สมาชิกวุฒิสภา และ นายรังสิมันต์ โรม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคก้าวไกล ถึงความเป็นไปได้ที่จะรับฟังข้อเสนอของผู้ชุมนุมได้มากน้อยแค่ไหน

นายวันชัย กล่าวว่า ทุกคนมีความคิดที่เปลี่ยนไป การแก้รัฐธรรมนูญหากจำเป็นก็ต้องแก้ เพราะบ้านเมืองนี้ไม่ควรเป็นอำนาจของคนใดคนหนึ่ง ในยุคการเมืองที่เปลี่ยนผ่านต้องประนีประนอมกัน ไม่ควรยืนอยู่เหมือนเดิมเพื่อให้บ้านเมืองดีขึ้น เกิดความปรองดองสามัคคีกัน ส่วนในเรื่องของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ส่วนตัวเชื่อว่าน่าจะผ่านทั้ง 2 ร่างคือ ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคร่วมฝ่ายค้าน และ ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรครัฐบาล

นายรังสิมันต์ กล่าวว่า สิ่งที่ไม่อยากเห็นที่สุดคือการนำไปสู่เหตุการณ์นองเลือด ความรุนแรงในหมู่ของประชาชน เราต้องหาทางออกกัน ตอนนี้ร่างรัฐธรรมนูญมีทั้งหมด 7 ร่าง รวมร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับของภาคประชาชน ตนมองว่ามาตรา 272 ที่ให้อำนาจ ส.ว.โหวตนายกรัฐมนตรี เป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นแล้ว สำหรับทิศทางที่ควรจะเป็น ในวันนี้ประชาชนออกมาแสดงความต้องการหลายเรื่องด้วยกัน โดยเฉพาะร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับของภาคประชาชน ซึ่งมีการล่ารายชื่อนับแสนรายชื่อ จะต้องมีความชัดเจน และต้องเป็นร่างหลักเพื่อแสดงความจริงใจที่รัฐบาลมอบให้ประชาชน

นายวันชัย กล่าวว่า หลังจากอ่านร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับของภาคประชาชนแบบละเอียดแบบนักกฎหมายแล้ว ส่วนตัวมองว่าเป็นการร่างขึ้นโดยใช้อารมณ์ ไม่ใช่นิติวิธี ซึ่งตนเข้าใจประชาชน เตรียมว่าจะตัดสินใจเรื่องนี้อย่างไร และมองว่าการทำงานของพรรคฝ่ายค้านมีจุดพลาด

...

นายรังสิมันต์ ยืนยันว่า เราไม่พลาด แต่สร้างความเป็นไปได้ สาเหตุของยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญหลายฉบับ เพราะหวังว่าจะมีร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ผ่านอย่างน้อย 1 ร่าง และในวันที่ 17 พ.ย.63 จะเป็นการคุยกันในวาระ 1 ยังไม่ลงลึกถึงรายละเอียด ซึ่งหากให้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนเป็นร่างหลัก จะถือว่าเป็นการให้เกียรติประชาชน เมื่อถึงวาระที่ 2 ค่อยมาปรับแก้ไขกัน

หากถามว่าร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนมีความเป็นไปได้ที่จะถูกผลักดันไปจนวาระสุดท้ายได้หรือไม่ ส่วนตัวมองว่า มีความเป็นไปได้ แต่ขึ้นอยู่กับฝ่ายรัฐบาลและ ส.ว. หากเถียงกันว่าเนื้อหาไม่ดีก็มาช่วยกันแก้ไข เพราะภาคประชาชนก็มีนักกฎหมาย มาพูดคุยหาทางออกร่วมกัน ไม่ใช่การตั้งธงว่าจะไม่รับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของประชาชน

ข้อเรียกร้องแรก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องลาออก

นายวันชัย เปิดเผยว่า จากที่พูดคุยกัน ตนมองว่า พล.อ.ประยุทธ์ ไม่จำเป็นต้องลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพราะมีกลไกในสภาอยู่แล้ว เช่น เปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ

ขณะที่ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า คนที่ชอบมีสิทธิ์ชอบต่อไปได้ แต่กระแสเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ ลาออก ก็มีจำนวนมาก ขนาดที่ทำให้องค์กรทางการเมืองจำนวนมากต้องปรับตัว เช่น การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ความใกล้ชิดระหว่างสถาบันและประชาชน หาก พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ลาออก บ้านเมืองจะดำเนินต่อไปได้ยาก

สำหรับความเป็นไปได้ของเวทีปรองดองสมานฉันท์ นายวันชัย กล่าวว่า หากมีการศึกษาแล้วมีเพียงเอกสาร อย่ามีดีกว่า แต่การปรองดองสมานฉันท์จะต้องเกิดให้ได้ การนิรโทษกรรมที่เกี่ยวกับคดีการเมืองต้องเลิก

นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ขอพูดในฐานะนักการเมือง เมื่อพูดถึง "การปรองดองสมานฉันท์" ต้องดูก่อนว่าจุดมุ่งหมายปรองดองกับใคร ผู้ชุมนุมเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องลาออก และในวันนี้มีผู้ชุมนุม 2 กลุ่มออกมา ดังนั้นหากจะต้องมีการตั้งคณะกรรมการฯ ตนจะให้ความสำคัญกับการพูดคุยกันของมวลชนทั้ง 2 กลุ่ม เพราะไม่อยากให้มีการขัดแย้งเกิดขึ้น

แต่หากพูดว่าการปรองดองหมายถึง พล.อ.ประยุทธ์ กับ ประชาชน ตนมองว่าไม่มีความเป็นไปได้ เพราะกลุ่มผู้ชุมนุมมีข้อเรียกร้องชัดเจนว่า พล.อ.ประยุทธ์ ต้องลาออก และต้องมีเวทีที่พูดคุยปัญหากันอย่างปลอดภัย

ส่วนเรื่องข้อเรียกร้องที่ 3 ที่จะนำมาพูดคุยในสภาได้หรือไม่นั้น นายรังสิมันต์ กล่าวว่า มีความเป็นไปได้ ข้อบังคับกำหนดว่าไม่ควรเอ่ยถึงสถาบันพระมหากษัตริย์โดยไม่จำเป็น แต่กรณีนี้จำเป็นจะต้องพูดคุยกัน และการพูดคุยในสภาเป็นการพูดคุยกันแบบสันติบนพื้นฐานของเหตุผล ตนเชื่อว่าการพูดคุยปัญหาต่างๆ รวมไปถึงข้อเรียกร้องที่ 3 ผ่านกลไกของสภาสามารถทำได้ เชื่อว่าจะเป็นประโยชน์กับทุกฝ่าย ผู้ใหญ่ของบ้านเมืองต้องช่วยกัน

นายวันชัย กล่าวต่อว่า การให้ พล.อ.ประยุทธ์ ลาออกถือว่าเป็นข้อขัดแย้งแล้ว หากพูดถึงเรื่องสถาบัน ซึ่งเป็นความขัดแย้งที่ใหญ่กว่า อยากถามว่าจะเป็นการเติมความขัดแย้งให้บ้านเมืองไปทำไม ขอแนะนำด้วยความรักและหวังดีว่า อะไรที่เป็นความขัดแย้งที่ใหญ่ขอให้เว้นไว้ก่อน ไม่ควรนำมาพูดคุยกันในเวลานี้ ตนเชื่อว่ายังมีวิธีอื่นที่สามารถทำได้โดยแยบยล และมีความเคารพมากกว่านี้.