การเลือกตั้งสหรัฐฯ ได้มีการปิดหีบและนับคะแนนในแต่ละรัฐแล้ว ใครจะได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 46 ระหว่าง ระหว่าง โดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกัน กับ โจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครต โดยล่าสุดคะแนนของทั้งคู่สูสีเป็นอย่างมาก และไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร ภาพสะท้อนใน 4 ปีข้างหน้า เกี่ยวกับแนวนโยบายของสหรัฐฯ จะส่งผลต่อประชาคมโลก รวมถึงไทยทั้งตรงและทางอ้อม

“รศ.ดร.ยุทธพร อิสรชัย” อาจารย์วิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช กล่าวกับ “ทีมข่าวเจาะประเด็นไทยรัฐออนไลน์” ว่า คะแนนของทั้งทรัมป์และไบเดน ออกมาสูสีกันมาก และมีโอกาสไม่จบง่ายๆ อาจไปสู่กระบวนศาลสูง ในการพิจารณาการนับคะแนน ซึ่งศาลต้องใช้เวลาพิจารณาพอสมควร เนื่องจากก่อนหน้านั้นทรัมป์ ได้แต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาศาลสูงสุดคนใหม่ เป็นผู้มีอุดมการณ์อนุรักษนิยมเช่นเดียวกับทรัมป์ จึงเป็นสิ่งน่ากังวลว่าการเลือกตั้งสหรัฐฯ จะจบอย่างไร และถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่มีผู้เลือกตั้งล่วงหน้าจำนวนมากกว่า 70% จะมีผลต่อการนับคะแนนในบางรัฐ อาจต้องใช้เวลา

“ดูจากคะแนนที่ก้ำกึ่งกันมาก ในมุมมองส่วนตัวคิดว่าทรัมป์ น่าจะคว้าชัยชนะ แม้ผลโพลก่อนเลือกตั้งทุกสำนักเห็นตรงกันว่าไบเดน มีคำแนนนิยมนำห่างก็ตาม และมีเหตุนำไปสู่กระบวนการศาลสูงในการนับคะแนนบัตรเลือกตั้ง รวมถึงมีการลงคะแนนผ่านบัตรเลือกตั้งล่วงหน้ากว่า 70% ในจำนวนนี้อาจมีคนอยากได้ อเมริกา เฟิร์ส ก็ได้ จนส่งผลให้ทรัมป์ชนะก็ได้”

...

 

รศ.ดร.ยุทธพร มองว่า "เลือกตั้งสหรัฐ" ครั้งนี้ มีความน่าสนใจเพราะเป็นจุดเปลี่ยนในเชิงนโยบายของสหรัฐฯ ก่อให้เกิดจุดเปลี่ยนทางนโยบายกับประชาคมโลก ทั้งมหาอำนาจอย่างจีน และกับประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งไทย อีกทั้งการเลือกตั้งครั้งนี้ ถูกจับตามองในยุคโควิดระบาด โดยทรัมป์ ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในการแก้ไขปัญหาโควิด และนโยบายหลายอย่างของทรัมป์ ไม่สามารถทำได้จริง เช่น การก่อสร้างกำแพงกั้นระหว่างสหรัฐฯ และเม็กซิโก และแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่รุนแรงใหญ่โตมากขึ้น

หากทรัมป์ ได้เป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 2 จะมีนโยบายลักษณะอนุรักษ์นิยม เน้นกิจการในสหรัฐฯ “อเมริกาต้องมาก่อน” (America First) จะเดินหน้าต่อไป ส่วนการจะแทรกแซงทางการเมืองประเทศอื่นๆ ของสหรัฐฯ อาจไม่มากนัก ซึ่งจะเหมือนๆ กับ เมื่อ 4 ปีที่แล้ว

ในทางกลับกัน หากไบเดน ได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะมีการปรับเปลี่ยนในเชิงอุดมการณ์ของพรรคเดโมแครต ในเรื่องของเสรีภาพในระบอบประชาธิปไตย จะมีการพัฒนาและขยายตัวของประชาธิปไตยแบบเสรีนิยม จะมีผลต่อประชาคมโลก ในการพัฒนาประชาธิปไตย เน้นเรื่องการเมืองและเศรษฐกิจมากขึ้น

โดยเฉพาะไทย ซึ่งขณะนี้มีปัญหาการเมืองในประเทศ จะถูกสหรัฐฯ เฝ้าระวังติดตาม มีการแสดงทัศนะ และเข้ามาแทรกแซงในการพัฒนาประชาธิปไตย แม้ว่าที่ผ่านมาทั้งจีน และสหรัฐฯ จะเข้ามาแทรกแซงมีบทบาทในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ไทย ก็มีความสำคัญในภูมิภาค จะทำให้สหรัฐฯ เข้ามามีบทบาทมากขึ้น หากไบเดน เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ

ในส่วนระบบเลือกตั้งของสหรัฐฯ เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับระบบเลือกตั้งของไทย ซึ่งของสหรัฐฯ ออกแบบระบบเลือกตั้งที่ตัดสินด้วยด้วยคะแนนจากคณะผู้เลือกตั้ง (Electoral Vote) เพื่อป้องกันการแกว่งของคะแนนเสียง และป้องกันการสร้างกระแส จึงออกแบบ 2 ชั้น โดยประชาชนไปลงคะแนนเสียงที่เรียกว่า Popular Vote ในการเลือกคณะเลือกตั้ง ซึ่งจะไปเลือกประธานาธิบดี โดยไม่มีการผูกมัดใคร แม้ว่าคณะเลือกตั้งจะอยู่พรรคใดก็ตาม ไม่จำเป็นต้องเลือกพรรคนั้น

ขณะที่ของไทย แบบจัดสรรปันส่วนผสม เป็นการถ่วงดุลพรรคการเมืองที่ได้คะแนนนิยม กับพรรคที่ไม่ได้คะแนนนิยม จึงใช้บัตรเลือกตั้ง 1 ใบ แต่ถูกนำไปนับคะแนน 2 ครั้ง ทำให้เจตนารมณ์ของประชาชนบิดเบือนไป ไม่แสดงให้เห็นถึงความต้องการที่แท้จริงของประชาชน ซึ่งตรงข้ามกับระบบเลือกตั้งของสหรัฐฯ เน้นการเลือกผู้บริหารประเทศโดยตรง

นอกจากนี้ การเมืองของไทย เป็นแบบสภา การจะใช้คณะผู้เลือกตั้ง (Electoral Vote) จึงทำไม่ได้ สะท้อนภาพให้เห็นปัญหาในเชิงกลไกของการเลือกตั้ง ก็คือ กกต. มีความแตกต่างกับสหรัฐฯ ซึ่งมีการเลือกตั้งหลากหลาย ทั้งแบบอิเล็กทรอนิกส์ และไปรษณีย์ มีกลไกในการนับคะแนนที่ดี โดยใช้เทคโนโลยีมาช่วยนับคะแนนบัตรเลือกตั้ง ส่วนไทย ไม่มีการพัฒนา ทำให้เกิดปัญหาบัตรเขย่ง และบัตรเลือกตั้งมีการขนส่งล่าช้า

“ปัญหาการเลือกตั้งในไทย ไม่ใช่เกิดขึ้นครั้งแรก ต้องตั้งคำถามกับกกต. ในการเข้ามาทำหน้าที่แทนมหาดไทย ควรต้องทำหน้าที่ที่เป็นกลาง เพราะสหรัฐฯ ไม่มีปัญหาบัตรเขย่ง สะท้อนให้เห็นว่า ระบบการเลือกตั้งของสหรัฐฯ ดีมาก ไม่มีเรื่องของการโกงเลือกตั้ง หรือการซื้อเสียงเลือกตั้ง เพราะคนเข้ามาทำหน้าที่ ไม่รู้จะทำเพื่ออะไร ไม่มีใครอยากมาทำหน้าที่ ส.ส. หรือรัฐมนตรี แล้วต้องมาหาผลประโยชน์ เหมือนของไทย”.

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง