- รัฐสภาเตรียมบรรจุร่างแก้รัฐธรรมนูญ 7 ฉบับ 17 พ.ย.
- เริ่มต้นกลัดกระดุมเม็ดแรกถูกก็จบทั้ง 3 ข้อเรียกร้องม็อบ
- ห้ามชุมนุม 2 ปี ไม่เหมาะสม ยิ่งกด ก็ยิ่งเกิดแรงต้าน
เพิ่งปิดสมัยประชุมวิสามัญแห่งรัฐสภาไปหมาดๆ ล่าสุด รัฐสภาก็กลับมาเปิดสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่สองแล้ว ในสมัยประชุมนี้เรื่องที่หลายคนจับตาคงหนีไม่พ้นวาระการลงมติว่าจะรับหรือไม่รับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับใดใน 7 ฉบับ ซึ่งมีทั้งร่างของฝ่ายค้าน รัฐบาล และประชาชน ที่จะถูกบรรจุเข้ารัฐสภาในวันที่ 17 พ.ย. 2563 ตามที่ประธานรัฐสภาแจ้ง เรียกว่างวดเข้ามาทุกที
แต่ก่อนจะไปถึงวันนั้น นพ.ระวี มาศฉมาดล ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคพลังธรรมใหม่ ได้ออกมาเคลื่อนไหวเรื่องการทำประชามติ เชื่อว่าหลายคนรู้ การจะแก้ไขรัฐธรรมนูญจะต้องมีเรื่องของการทำประชามติอยู่แล้ว แต่ หมอระวี ได้เสนอว่าควรทำประชามติก่อนวาระที่ 1 หรือขั้นรับหลักการ และระบุว่านี่จะเป็นทางออกที่ดีที่สุดในเวลานี้เลยเชียว

...
ขั้นตอนปกติ มีโอกาสต้องกลับมาเริ่มต้นใหม่
หากมองตามไทม์ไลน์ล่าสุดที่ นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ระบุนั้น ราวกลางเดือน พ.ย. รัฐสภาจะเข้าสู่ขั้นรับหลักการร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งในส่วนนี้ฝ่ายค้านและรัฐบาลเห็นตรงกันคือ ให้แก้มาตรา 256 และตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) เรื่องต่อมาคือแก้หมวด 1 และหมวด 2 เหมือนอย่างที่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนโดยไอลอว์ (iLaw) เป็นผู้เสนอ และมีประชาชนร่วมลงชื่อสนับสนุนมากกว่า 1 แสนรายชื่อ เมื่อรับหลักการแล้ว จากนั้นเข้าสู่วาระที่ 2 และ 3 เมื่อเสร็จสิ้นก็ไปสู่ขั้นตอนการทำประชามติ เข้าสู่รัฐสภาอีกครั้งเพื่อตั้ง ส.ส.ร. ส่งให้สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จัดการเลือกตั้ง ส.ส.ร. มาร่างรัฐธรรมนูญ เมื่อร่างเสร็จส่งเข้ารัฐสภาลงมติเห็นชอบ รัฐธรรมนูญใหม่จึงประกาศใช้ ขั้นต่อไปคือนายกรัฐมนตรีลาออก ยุบสภา และเลือกตั้งใหม่
ขณะที่ส่วนตัว หมอระวี มองว่าการแก้หมวด 1 และ 2 นั้นคงเป็นไปไม่ได้ เพราะเป็นการปกป้องสถาบัน ส่วนเรื่อง ส.ว. ไม่มีปัญหา เพราะเมื่อตั้ง ส.ส.ร. แล้วก็มีอำนาจที่จะเปลี่ยนได้ ทั้งนี้ หากทำประชามติหลังขั้นตอนต่างๆ ผ่านไปแล้ว แต่ประชาชนลงคะแนนเสียงไม่เห็นด้วยกับการแก้รัฐธรรมนูญมาตรา 256 และตั้ง ส.ส.ร. ก็ต้องมาเริ่มต้นกันใหม่ เพราะไม่ตรงกับวาระที่ 1, 2 และ 3 ที่รัฐสภารับไป

ทางออกที่ดีที่สุด ทำประชามติก่อนรับหลักการ ขมวดจบในปีครึ่ง
ทางที่ดีที่สุด หมอระวี บอกว่า เหมือนที่ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เสนอ คือ กลัดกระดุมเม็ดแรกให้ถูก โดยต้องเริ่มต้นก่อนวาระที่ 1 ดังนี้ ประเด็นแรก รัฐสภาต้องหาวิธีการทำประชามติก่อนว่าต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่ ซึ่งทุกคนก็คงบอกว่าแก้ ประเด็นที่สอง แก้รายมาตรา หรือแก้มาตรา 256 กับตั้ง ส.ส.ร. ขึ้นคู่กัน ประเด็นที่สาม คือ แก้หมวด 1 และ 2 ส่วนเรื่อง ส.ว. คิดว่าผ่านอยู่แล้ว
ถ้าทำประชามติก่อนดังที่กล่าวไป เรื่องที่ม็อบออกมาเสนอ 3 ข้อเรียกร้อง 1. พล.อ.ประยุทธ์ ต้องลาออกจากนายกรัฐมนตรี 2. ร่างรัฐธรรมนูญใหม่โดยประชาชน และ 3. ปฏิรูปสถาบัน จะจบลงทั้งหมด เพราะหลังจากประชามติแล้ว ถ้าเสียงของประชาชนบอกว่าห้ามแก้ไขหมวด 1 และ 2 ก็เป็นอันจบ ฝ่ายม็อบก็ต้องหยุด เพราะนี่เป็นประชามติของประชาชน ประเด็นสถาบันก็จะเบาลง จากนั้นรัฐสภาก็ดำเนินการวาระ 2 และ 3 ต่อให้จบในการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามประชามติ เช่น ถ้าประชามติบอกให้ตั้ง ส.ส.ร. ให้แก้มาตรา 256 ก็เดินตามนั้น ถ้าประชามติบอกไม่ให้แก้มาตรา 256 บอกให้แก้รายมาตรา รัฐสภาก็ต้องทำตามนั้น ส่วนตัวคิดว่าจะออกมาแนวทางให้แก้มาตรา 256 ตั้ง ส.ส.ร. แต่ไม่ให้แก้หมวด 1 และ 2 และหากออกมาทางนี้รัฐสภาก็ต้องทำตาม ร่างรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตย พอร่างเสร็จนายกรัฐมนตรีก็ต้องลาออก ยุบสภา แล้วเลือกตั้งใหม่ เมื่อรัฐสภาทำรัฐธรรมนูญตามมติประชาชนก็จบ

“เริ่มต้นกลัดกระดุมเม็ดแรกถูกก็จบทั้ง 3 ประเด็น ความขัดแย้งอย่างรุนแรงก็จะลดลงมา แต่ก็ไม่ใช่หมดไป ฝ่ายเรียกร้องปฏิรูปยังคงอยู่แต่ว่าจะไม่สามารถสร้างกระแสได้อีก จะสร้างกระแสอีกครั้งคงอีก 4-5 ปีข้างหน้า นี่คือที่ผมว่าต้องต้องเริ่มประชามติก่อน สมมติว่าฝ่ายปฏิรูปสถาบันทำได้ดีกว่า ผลประชามติออกมาให้แก้หมวด 1 และ 2 ฝ่ายปกป้องสถาบันก็ต้องยอมรับ จะออกมาบอกว่าไม่ยอมก็ไม่ได้แล้ว เช่นเดียวกัน ถ้ามติออกมาว่าห้ามแก้หมวด 1 และ 2 ก็ต้องไม่แก้ เพราะเป็นประชามติทั่วทั้งประเทศ ถ้าทำตามนี้จบข้อขัดแย้ง 3 ข้อ ในเวลาไม่เกิน 1 ปีครึ่ง นี่เป็นทางออกที่ดีที่สุดที่จะแก้ปัญหาทุกข้อ”
เวลา 1 ปีครึ่งถือว่าเร็วมาก แต่บางคนอาจจะโจมตีว่าถ้าเสนอประชามติก่อนเท่ากับดึงเรื่อง เตะถ่วง แต่หากมองกลับกันการทำประชามติก่อนจะยิ่งเร็วขึ้น เช่น ถ้ารัฐสภามีมติก็รอ 20 ธ.ค. นี้ สามารถทำประชามติได้ทันทีพร้อมๆ กับเลือกตั้งท้องถิ่น หรือจะเป็นวันที่ 15 ธ.ค. หรือ 25 ธ.ค. 2563 ก็ได้ จ่ายเงินใหม่ 3,000 ล้านบาทก็คุ้ม เพราะถ้าม็อบชุมนุมโดยไม่มีเหตุผลที่ดีพอ ประเทศจะยิ่งเสียหายมากกว่า

แนะรัฐบาลออก พ.ร.ก.ประชามติแก้รัฐธรรมนูญ
หากเข้าสู่ขั้นตอนรับหลักการในวาระ 1 ก่อน ก็ยังสามารถไปถึงขั้นที่เสนอได้ เพราะขณะนี้ตนได้เคลื่อนไหวทางความคิดให้คนเห็นด้วย ซึ่งมี ส.ส. และ ส.ว. เห็นด้วยกับความคิดนี้จำนวนมากแล้ว ส่วนอีกทางออกที่อยากเสนอต่อรัฐบาลคือ ออก พ.ร.ก.ประชามติเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งต้องไปคุยกันในรัฐสภาให้ความเห็นชอบ เหมือนกับที่ขอให้รัฐบาลเป็นผู้ขอเปิดสมัยประชุมวิสามัญ หรือหากรับหลักการในวาระ 1 ไปแล้ว ก็อาจจะมีผู้ไปยื่นร้องศาลรัฐธรรมนูญว่ารัฐสภาไม่มีอำนาจแก้ไขรัฐธรรมนูญก่อนได้ ต้องทำประชามติก่อน ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญอาจจะใช้เวลาไม่กี่วันก็จะมีคำวินิจฉัยออกมา เมื่อนั้นรัฐสภาก็ต้องหยุด แล้วก็ทำประชามติ

ห้ามชุมนุม 2 ปี ไม่เหมาะสมด้วยประการทั้งปวง
ข้อเสนอของ นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ที่จะให้รัฐบาลออก พ.ร.ก.ประชามติ ห้ามชุมนุมทางการเมือง 2 ปี เพื่อฟื้นเศรษฐกิจในยุคหลังโควิด-19 และใครที่ไปชุมนุมจะมีความผิดอย่างรุนแรง รัฐบาลสามารถจัดการปราบปรามได้นั้น มองว่าไม่ถูกโดยหลักการ เป็นการเสนอมุมมองข้างเดียวจากคนที่อยู่ฝ่ายพรรคพลังประชารัฐ สังคมใดมีการกด จะมีแรงต้าน เพราะต่อให้ผ่านประชามติแล้วทำจริงๆ แต่ถ้าภายหลังปรากฏว่ารัฐบาลโกง เป็นแบบนั้นแบบนี้ เชื่อว่าอย่างไรก็เกิดม็อบ ซึ่งม็อบเขาไม่กลัว ถึงจะเสนอได้แต่ในแง่ปฏิบัติไม่เหมาะสมด้วยประการทั้งปวง เหมือนกับที่นายกรัฐมนตรีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในท้องที่กรุงเทพมหานคร และยกเลิกในเวลาต่อมา เพราะไม่มีประโยชน์ ยิ่งกดก็ยิ่งเกิดแรงต้าน
ตอนนี้ต้องยอมรับว่านักศึกษาเคลื่อนไหวอย่างสันติ แต่ธรรมชาติม็อบ ถ้าในระยะยาวยังไม่ประสบผลสำเร็จ ไม่มั่นใจว่าแกนนำที่อยู่เบื้องหลังจะทำอะไร จะยกระดับการชุมนุมเหมือนม็อบฮ่องกงหรือไม่ ถ้าอย่างนั้นจะเกิดปัญหาทันที ประการต่อมาคือมือที่สาม อาจจะไม่ได้ก่อความรุนแรง แต่ถ้ามีการเอามือที่สามไปแต่งตัวเป็นนักเรียนอาชีวะอยู่ในม็อบ ตีตำรวจ ขว้างระเบิด ก็เกิดความรุนแรงขึ้นทันที ก็เป็นสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นได้

ตั้งคณะกรรมการสมานฉันท์ ดีกว่าไม่มี
สำหรับการตั้งคณะกรรมการสมานฉันท์ที่จะมาร่วมกันศึกษาหาทางออกให้กับประเทศนั้น หมอระวี ระบุว่า ก็เหมือนกับประชุมวิสามัญที่ผ่านมา ประชุมดีกว่าไม่ประชุม มีการมาพุดคุยกัน คนไทยด้วยกันเอง มีอะไรก็มาแลกเปลี่ยนกัน ถึงจะมีคนใส่ไฟก็มีคนช่วยกันดับ แต่หากตั้งโดยไม่มีฝ่ายค้านร่วม ก็มองว่าน่าจะใช้รูปแบบที่ไม่ต้องมีฝ่ายรัฐบาลด้วย เอาคนกลางตั้งคณะกรรมการศึกษาหาทางออกโดยไม่ต้องมีทั้ง ส.ส. ฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล และ ส.ว. ก็สามารถทำได้ ดีกว่าไม่ทำ อะไรที่เป็นข้อเสนอที่เหมาะ ก็เสนอมา ถ้าเป็นข้อเสนอที่เหมาะ รัฐบาลเห็นชอบก็แก้ไข แต่ประเด็นสำคัญ เช่น ปฏิรูปสถาบัน รัฐบาลไม่มีสิทธิ์ ประชาชนทั้งประเทศเท่านั้นที่จะมีสิทธิ์ นายกรัฐมนตรีก็ไม่ลาออกอยู่แล้ว ส่วนข้อเสนออื่นๆ คณะกรรมการก็จะเสนอได้ มันก็จะคลี่คลายความร้อนแรงลงได้ขั้นหนึ่ง ดีกว่าไม่ตั้ง พร้อมฝากทิ้งท้ายว่า “รัฐสภาจะมาแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2560 รัฐสภาถามประชาชน 16 ล้านคนหรือยัง”
การแก้รัฐธรรมนูญตามที่ฝ่ายต่างๆ เรียกร้อง สุดท้ายจะออกไปทางไหน การทำประชามติจะเกิดขึ้นก่อนหรือหลังรับหลักการ คงต้องจับตาและติดตามกันไป เหล่าผู้แทนราษฎรและนักการเมืองทั้งหลายที่ให้สัญญา รับปากว่าทำเพื่อผลประโยชน์ของชาติและประชาชน จะนำพาประเทศไปในทิศทางใด จะสมหวังดั่งใจประชาชนหรือไม่ การชุมนุมกลุ่มราษฎรจะลดหรือยกระดับ คงต้องติดตามแบบตาไม่กะพริบรายวัน
ผู้เขียน : กิณรีสีอังกาบ
กราฟิก : Supassara Taiyansuwan