ผมดีใจที่การประชุมสภาวันที่สอง เพื่อหาทางออกให้กับความขัดแย้งในสังคมไทย ได้ข้อสรุปที่ชัดเจนเห็นด้วยกันทั้ง 3 ฝ่าย คือ รัฐบาล ฝ่ายค้าน และ วุฒิสภา ให้มีการแต่งตั้ง “คณะกรรมการสมานฉันท์ 7 ฝ่าย” ประกอบด้วย ฝ่ายรัฐบาล, ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล, ส.ส.ฝ่ายค้าน, สมาชิกวุฒิสภา, ผู้เกี่ยวข้องกับการชุมนุม, ผู้ไม่เห็นพ้องกับความเห็นของผู้ชุมนุม และ ผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อร่วมกันหาทางออกให้กับประเทศไทยตามข้อเสนอของ คุณจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯและรัฐมนตรีพาณิชย์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เหมือนกับ “คณะกรรมการสมานฉันท์” ในอดีตยุคเสื้อแดงเสื้อเหลืองที่เคยมีมาแล้ว

วิป 3 ฝ่าย คือ ฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน ฝ่ายวุฒิสภา จะนัดพูดคุยกันก่อนเสนอ คุณชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภาแต่งตั้ง และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ก็เปิดเผยว่าจะนำเรื่องนี้เข้าหารือใน ครม.

ผมเห็นด้วยกับ คุณจุรินทร์ ว่า ควรนำปัญหาขัดแย้งในสังคมขึ้นมาพูดคุยกันบนโต๊ะเจรจา ความจริงปัญหาความขัดแย้งทุกเรื่อง แม้แต่ ความไม่เข้าใจกันในระดับครอบครัว ก็ควรจะต้อง “พูดคุยกัน” เพื่อนำไปสู่ “ความเห็นร่วมกัน” ในการแก้ปัญหาระยะยาว ไม่ใช่การปลุกระดมให้เกลียดชังกัน ทำร้ายกัน ซึ่งจะนำไปสู่ความรุนแรงในที่สุด ประเทศชาติก็จะเสียหายพังยับเยิน มีแต่ซากปรักหักพัง ทั้ง ชีวิต ทรัพย์สินและสังคม ดังที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงให้สติกับพสกนิกรและสังคมไทยมาแล้ว

ผมขอให้ คณะกรรมการสมานฉันท์ชุดใหม่ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ควรจะนำข้อมูลและบทสรุปของ คณะกรรมการสมานฉันท์ในอดีต ชุด ดร.คณิต ณ นคร อดีตอัยการสูงสุด ดร.กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ อดีตปลัดกระทรวงยุติธรรม มาเป็นแนวทางการพูดคุยด้วย

...

ดร.กิตติพงษ์ ให้สัมภาษณ์ถึงปัญหาในสมัยนั้นว่า “สิ่งที่น่าหนักใจก็คือ ความรู้สึกของสังคมไทยที่ยังคุกรุ่นในเรื่องแพ้ชนะ และกล่าวโทษว่าอีกฝ่ายหนึ่งผิด การจะทำให้เกิดกระบวนการหรือกลไกที่นำไปสู่การปรองดองได้ ทุกฝ่ายต้องเห็นภาพอนาคตร่วมกันเสียก่อนว่า ต้องเดินบนถนนสายนี้ บ้านเมืองจึงจะไปได้ หากอยู่อย่างเดิมบ้านเมืองต้องล่มสลายแน่นอน ทุกคนต้องเห็นตรงกันในจุดนี้เสียก่อน”

สิ่งที่น่าหนักใจในวันนี้ ก็ไม่มีอะไรแตกต่างไปจากวันนั้น ดังนั้น คณะกรรมการสมานฉันท์ชุดใหม่ จะต้องมีข้อเสนอให้ทุกฝ่ายขัดแย้งเห็นทางออกร่วมกันเสียก่อน การเจรจา 7 ฝ่าย จึงเดินหน้าไปได้ด้วยดี แต่การพูดจา 7 ฝ่ายในวันนี้ คงต้องสรุปให้เร็วกว่าสมัยก่อน เช่น 2-3 เดือน ไม่ใช่พูดคุยกันยาวนานกว่า 3 ปีเหมือนสมัยก่อน กว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้แล้ว เพราะวัยรุ่นใจร้อนคงรอนานขนาดนั้นไม่ไหว

ผมคิดว่าการแต่งตั้ง คณะกรรมการสมานฉันท์ชุดนี้ จำเป็นต้องมี “คนกลาง” ที่เรียกกันว่า “ผู้ทรงคุณวุฒิ” ที่มี “ศักยภาพ” และ “บารมี” สูงพอ ที่ ตัวแทนอีก 6 ฝ่ายยอมรับได้ จึงจะช่วยให้การเจรจาเป็นไปโดยราบรื่น ผู้ทรงคุณวุฒิจะช่วยชี้ปัญหา แนะนำทางออก และช่วยชี้ขาดในการแก้ปัญหา เมื่อเกิดกรณีขัดแย้งในคณะกรรมการสมานฉันท์ ผมก็ฝาก คุณชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ให้ใช้บารมีส่วนตัวในการเฟ้นหาเชิญเป็นพิเศษ

ผมมีความเชื่อว่า ทุกปัญหามีทางออกด้วยการเจรจาพูดจากัน

แม้แต่ สหรัฐฯ และ จีน สองประเทศมหาอำนาจอันดับหนึ่งสองของโลก ทำ สงครามการค้า กันมาหลายปี แต่ก็ตั้งโต๊ะเจรจาคู่ขนานกันมาตลอด เพื่อหาทางออกร่วมกัน แล้วเรา คนไทยด้วยกัน อยู่ในประเทศเดียวกัน ต้องการอนาคตที่ดีร่วมกัน น่าจะพูดจากันง่ายกว่าเยอะ ขอเพียงผู้ใหญ่เปิดใจกว้างรับฟังความคิดเห็นของคน รุ่นใหม่ ซึ่งเป็น ลูกหลานเราเอง และเป็น “ทายาท” ที่จะ รับมรดกประเทศชาติไปสานต่อในอนาคต เราจะไม่พูดจาฟังความคิดเห็นของเขาบ้างเลยหรือ ส่วนจะทำได้หรือทำไม่ได้ ก็เป็นเรื่องที่ต้องพูดจากันด้วยเหตุผลเช่นเดียวกัน.

“ลม เปลี่ยนทิศ”