"ปิยบุตร" ลั่น แก้รัฐธรรมนูญแค่ตั้ง ส.ส.ร. ยังไม่เพียงพอ ต้องรื้อระบอบประยุทธ์ จี้เปิดเสรีภาพการชุมนุม หยุดใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ ฝากถึง "บิ๊กตู่" หมดเวลาแล้ว

วันที่ 4 ต.ค. 2563 นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์การแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 ว่า น่าจะเป็นไปได้ที่คงมีการเคลียร์กันเรียบร้อยแล้ว โดยสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) อาจลงมติผ่านวาระ 1 ในญัตติที่ให้มีการเปิดทางตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ขึ้นมา และร่างนี้ก็น่าจะผ่าน แต่ในเรื่องอื่นๆ ญัตติอื่นๆ นั้นไม่แน่ใจ แต่อย่างไรก็ตาม เห็นว่าการแก้รัฐธรรมนูญเพื่อให้มี ส.ส.ร. เพียงอย่างเดียวน่าจะไม่เพียงพอ เพราะกว่าเราจะได้ ส.ส.ร. กว่าที่ ส.ส.ร. จะทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทั้งฉบับเสร็จ น่าจะกินเวลานานหลายปี เผลอๆ รัฐบาลชุดนี้อาจจะอยู่จนครบเทอม นั่นเท่ากับว่าเราจะอยู่กับระบอบประยุทธ์ที่สร้างขึ้นมาจากรัฐธรรมนูญ 2560 ต่อไปเรื่อยๆ ดังนั้น สิ่งสำคัญนอกจากทำให้มี ส.ส.ร. แล้ว จำเป็นต้องแก้รัฐธรรมนูญรายมาตราในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ด้วย เพื่อรื้อระบอบประยุทธ์ออก

“ระบอบประยุทธ์ตามรัฐธรรมนูญ 2560 ค้ำยันด้วย 1. ส.ว. 250 คน 2. องค์กรอิสระต่างๆ และ 3. แผนยุทธศาสตร์ชาติ แผนปฏิรูปประเทศต่างๆ ดังนั้น ต้องเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้ เพื่อรื้อระบอบประยุทธ์ ผมเชื่อว่ารัฐธรรมนูญที่ดีที่เรากำลังใฝ่ฝัน ซึ่งกำลังจะร่างกันใหม่ทั้งฉบับนั้น ไม่มีทางเกิดขึ้นได้ภายใต้ระบอบประยุทธ์ รัฐธรรมนูญที่ดีไม่มีทางเกิดขึ้นได้ภายใต้การที่ คุณประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังคงครองอำนาจอยู่ ซึ่งเราก็เห็นแล้วว่ารัฐธรรมนูญ 2560 เกิดมาจากกลไกพิการอย่างไรบ้าง ถ้าหากปล่อยให้ระบอบประยุทธ์ยังคงอยู่ต่อไป เราก็อาจจะได้รัฐธรรมนูญที่คงปรับเพียงนิดเดียว กลายเป็นรัฐธรรมนูญ 2560 ที่แต่งหน้าทาปากเข้าไปเท่านั้นเอง ดูดีกว่าเดิมนิดหน่อย แต่ท้ายที่สุดโครงสร้างอำนาจยังเป็นอย่างเดิม ไม่ได้ระบอบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แน่นอน”

...

ส่วนเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตราอื่นๆ อย่างน้อยๆ ก็คือการตัดอำนาจ ส.ว. ในการร่วมเลือกนายกรัฐมนตรีก่อนก็ยังดีนั้น นายปิยบุตร เห็นว่าควรยกเลิก ส.ว. 250 คน เพราะถ้าทำแต่เพียงมี ส.ส.ร. ท้ายที่สุดจะเข้าข่ายเป็นเพียงการซื้อเวลาเท่านั้น เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีการชุมนุมของนิสิตนักศึกษาและประชาชนที่จะมีขึ้นในวันที่ 14 ตุลาคมนี้ นายปิยบุตร กล่าวว่า ในการจัดชุมนุมหลายๆ ครั้งผ่านไปด้วยดี นิสิตนักศึกษาจัดอย่างมีวุฒิภาวะ ไม่ได้เป็นไปอย่างที่ใครกล่าวหาว่าเป็นการชุมนุมเพื่อกระตุ้นความรุนแรงปิดเกม ที่ผ่านมาพิสูจน์แล้วว่าข้อกล่าวหานั้นไม่เป็นจริง อยากฝากรัฐบาลและเจ้าหน้าที่ว่า ผู้ชุมนุมที่ออกมาใช้เสรีภาพของตนเองและเป็นคนที่มีความปรารถนาดีต่อชาติบ้านเมือง ควรต้องยุติกระบวนการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ ควรให้ทุกคนได้ใช้เสรีภาพ เพราะถ้ารัฐบาลเข้มแข็งจริง ทำผลงานได้อย่างดีจริง โครงสร้างรัฐธรรมนูญ 2560 ซึ่งเอื้อประโยชน์ให้ขนาดนี้แล้ว รัฐบาลคงไม่ได้ล้มในเร็ววันนี้อย่างแน่นอน อย่ากลัวจนเกินไป ควรเปิดพื้นที่ให้ประชาชนได้แสดงออกมา

“การชุมนุมของนักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชนรอบนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีการพูดถึงการปฏิรูปสถาบัน แล้วก็ถูกฝ่ายตรงข้าม ฝ่ายอนุรักษ์นิยมตกขอบ กล่าวหาว่าเป็นพวกล้มล้างสถาบัน แต่ในท้ายที่สุดก็จะเห็นชัดว่าสังคมไทยเราเติบโตมาขึ้นกว่าเดิมเยอะ เราเรียนรู้กับประชาธิปไตยมากขึ้นกว่าเดิมเยอะ เรามีวุฒิภาวะกันมากขึ้น ผ่านกันมาได้หลายเดือนแล้วที่มีการพูดกันเรื่องปฏิรูปสถาบันอย่างตรงไปตรงมา ทั้งที่มีคนกล่าวหาใส่ร้ายป้ายสี แต่สังคมไทยก็ยินยอมพร้อมที่จะรับฟังกันในเรื่องหนักๆ อย่างนี้ได้ ถือป็นนิมิตหมายที่ดี หากเราคิดว่าเส้นทางที่ผ่านมา 44 ปี 6 ตุลาคม 2519 สอนอะไรกับเรา ผมเชื่อว่าเรื่องนี้ก็ช่วยได้เยอะ พี่น้องสื่อมวลชนช่วยได้เยอะ ร่วมกันประคับประคองสถานการณ์ ไม่ใช่ไปซ้ำเติมปลุกปั่นให้แรงมากขึ้นกว่าเดิม แต่เป็นการพยายามสร้างพื้นที่สาธารณะให้มีการถกเถียงกันในประเด็นอ่อนไหวอย่างเรื่องการปฏิรูปสถาบันได้”

อย่างไรก็ตาม นายปิยบุตร ยังกล่าวด้วยว่า การชุมนุมครั้งนี้คงจะไม่ใช่แบบม้วนเดียวจบ หรือไม่ชนะไม่เลิก อย่างนั้นไม่น่าจะใช้การได้ในยุคสมัยปัจจุบันแล้ว แต่เชื่อว่าการชุมนุมแต่ละครั้งได้ทำลายความชอบธรรมการมีอยู่ของรัฐบาลสืบทอดอำนาจได้เรื่อยๆ อยู่แล้ว และเชื่อว่าถ้าประชาชนออกมาแสดงพลังให้เห็น อย่างน้อยๆ ผู้มีอำนาจในปัจจุบันก็ต้องคิดว่าท่านจะยังครองอำนาจอย่างนี้ต่อไปหรือคืนอำนาจประชาชนแล้วสร้างกติกากันใหม่ ถ้าจะกลับมาก็ต้องมาตามระบบปกติ ดังนั้นถ้า พล.อ.ประยุทธ์ คิดถึงลูกๆ หลานๆ คิดยาวๆ น่าจะออกไปได้แล้ว เพราะหมดเวลาของท่านแล้ว.