นายกฯทูลเกล้าฯแล้ว รมว.คลังใหม่ อุบไต๋ชื่อ “อาคม” ให้รอฟัง กำชับส่วนราชการซ้อมแผนบริหารสถานการณ์วิกฤติ “พุทธิพงษ์” หารือ หน.พปชร.ศึกชิงผู้ว่าฯ กทม. “บิ๊กป้อม” ปัดดีล “ชัชชาติ” หลีกทางให้ “จักรทิพย์” “ประยุทธ์” โยนถามคนกรุง “บิ๊กแป๊ะ” เหมาะหรือไม่ “สุรพล”ขีดเส้น 15 วัน กกต.คืน ส.ส. “ชูศักดิ์” บี้หาทางออกไม่ใช่ท่องมีอำนาจเป็นที่สุด เฉ่งยับ รธน.60 จับตรงไหนเจอปัญหาตรงนั้น หึ่ง “หญิงอ้อ” คุมโปลิตบูโรกำกับเพื่อไทย ส่ง “ป้าแจ๋ว” เพื่อนสนิทเดินงาน “นิพนธ์” แจงไม่อนุมัติงบฯซื้อรถ อบจ.สงขลา รักษาผลประโยชน์รัฐจากฮั้วประมูล “วิษณุ” ยันยังไม่ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ มท.2 “บิ๊กบัง” เตือนปฏิวัติแก้ปัญหาไม่ได้ แนะผู้ใหญ่คิดให้ทันเด็ก-นิรโทษฯการเมือง มธ.-จุฬาฯชักธงลงถนนเปลี่ยนแปลงประเทศ นัดรวมพลทุกคนคือคณะราษฎร 14 ต.ค. ชุมนุมใหญ่อนุสาวรีย์ปชต.

หลังจากต้องใช้เวลานานกว่าเดือน เฟ้นหาบุคคลที่จะเข้ามาทำหน้าที่ รมว.คลังแทนนายปรีดี ดาวฉาย ที่ลาออกจากตำแหน่งไป ในที่สุด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ได้ออกมาระบุชัดเจนว่าได้นำรายชื่อ รมว.คลังคนใหม่ขึ้นทูลเกล้าฯเรียบร้อยแล้ว ให้รอดูการประกาศรายชื่ออย่างเป็นทางการ

...

นายกฯทูลเกล้าฯ รมว.คลังใหม่แล้ว

เมื่อเวลา 13.40 น. วันที่ 2 ต.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวการนำชื่อนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ อดีต รมว.คมนาคม ขึ้นทูลเกล้าฯแต่งตั้งเป็น รมว.คลังคนใหม่แล้วว่า สื่อก็เป็นคนบอกเองว่าเป็นกระแสข่าว เป็นข่าวปล่อยหรือเปล่า ทำไมต้องรีบร้อนขนาดนั้น วันนี้ทำงานโครมๆ เดี๋ยวรอสักหน่อย ต้องใช้เวลาทำหลักฐานเคลียร์ตัวเอง ก่อนนำเสนอขึ้นทูลเกล้าฯ จากนั้นทำเรื่อง เพื่อขอเข้าเฝ้าฯถวายสัตย์ปฏิญาณตามขั้นตอน ไม่ใช่ตั้งวันนี้แล้วได้เลย และปรับเพียงตำแหน่งเดียว เมื่อถามว่าแสดงว่าขณะนี้นำชื่อขึ้นทูลเกล้าฯแล้ว พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ใช่สิ ผมเป็นคนเซ็นเองก็รอดู”

ผู้สื่อข่าวถามว่า ยืนยันว่าเป็นนายอาคมใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวเลี่ยงว่า “เดี๋ยวรอหน่อยไม่ได้หรือ บอกแล้วว่าให้รอฟัง” เมื่อถามว่าขณะนี้นายอาคมเคลียร์และตรวจสอบคุณสมบัติตัวเองเรียบร้อยแล้วใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ตอบว่า เรื่องคุณสมบัติความหมายของตนคือทุกคนที่จะมาเป็นรัฐมนตรี ไม่ได้พูดถึงนายอาคมคนเดียว เมื่อถามว่านายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ อดีตปลัดกระทรวงการคลังหรือไม่ นายกฯตอบว่า “เขาไม่เป็นนี่” เมื่อถามว่า ตอนนี้ รมว.คลังมีชื่อเดียวใช่หรือไม่ นายกฯกล่าวตัดบทว่า “พูด 3 รอบแล้ว อย่ามาหลอกล่อฉัน”

โอดเจอปัญหาเชิงโครงสร้างพึ่งแก้ ก.ม.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงที่นายกฯให้สัมภาษณ์หลายประเด็น ผู้สื่อข่าวได้ถามนายกฯขึ้นว่า ทำไมดูอารมณ์ดี นายกฯกล่าวว่า เพราะเป็นวันศุกร์ของผู้สื่อข่าว แต่ฉันวันเสาร์-อาทิตย์ มีงานตลอด ขอร้องให้ช่วยกัน เรื่องนโยบาย การบริหารก็ว่าไป อยากบริหารให้ถูกต้องตามกฎหมาย จากนั้นนายกฯถามว่ามีอะไรจะถามอีกไหม ผู้สื่อข่าวถามว่า มีอะไรในใจอยากพูดหรือไม่ นายกฯกล่าวว่า อยากให้บ้านเมืองสงบสุขเรียบร้อยผ่านอันตรายช่วงโควิด-19 ไปได้ เศรษฐกิจดีขึ้น อะไรที่รัฐบาลทำคิดแล้วคิดอีก ทำอย่างเต็มที่ ต้องเห็นใจ เรามี 60 กว่าล้านคน ฐานะความเป็นอยู่แตกต่างกัน ทั้งภาคธุรกิจ ประชาชนทั่วไป เกษตรกร ผู้มีรายได้น้อย ทั้งหมดคือปัญหาเชิงโครงสร้าง จึงต้องการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจประเทศใหม่ ไม่ได้ฝากเฉพาะการส่งออก การท่องเที่ยว จะเห็นว่าหลายอย่างเดินหน้าไปแล้ว แต่มันไม่ง่ายนัก เพราะเป็นอย่างนี้มาหลายสิบปี เราพยายามแก้ จะเห็นตัวอย่างว่าเราแก้อะไรมาบ้าง ท่านอาจมองไม่เห็นก็ได้คือเรื่องกฎหมาย ทุกอย่างต้องแก้ด้วยกฎหมายทั้งหมด และถ้ากฎหมายไม่แก้มันก็ทำอะไรไม่ได้ ปฏิรูปไม่ได้ ปฏิรูปทุกอย่างต้องพึ่งการแก้กฎหมาย เราทำนอกกติกาเดิมไม่ได้ วันนี้เรามีรัฐธรรมนูญใช้อยู่ ถ้ายังไม่ได้แก้ไขก็ต้องทำตามรัฐธรรมนูญเดิมอยู่เท่านั้นเอง

สั่งซ้อมแผนรับมือเหตุวิกฤติ

น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกฯสั่งการให้ทุกส่วนราชการเตรียมความพร้อมการบริหารราชการภายใต้สถานการณ์วิกฤติ รัฐบาลได้กำหนดและดำเนินการตามนโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ พ.ศ.2562-2565 มีสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) รับผิดชอบหลักในปี 2563 รัฐบาลได้จัดการฝึกบริหารวิกฤตการณ์ระดับชาติ (C-MEX 20) 3 ครั้ง คือฝึกการบริหารจัดการสาธารณภัยจากหมอกควันและไฟป่าใน จ.เชียงใหม่ การรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลและการต่อต้านการก่อการร้าย การฝึกในอนาคต อาจเพิ่มประเด็นการรับมือกับโรคอุบัติใหม่ การป้องกันและปราบปรามการลักลอบขนส่งอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูงทั้งทางบกและทางน้ำ เพื่อให้ตอบสนองต่อภัยคุกคามรูปแบบใหม่ที่อาจเกิดขึ้น นายกฯได้เน้นย้ำให้ส่วนราชการเต็มที่กับการฝึกการบริหารภายใต้สถานการณ์วิกฤติด้านต่างๆ และบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามแผนและแนวปฏิบัติ และการทบทวนฝึกการบริหารวิกฤตการณ์ระดับชาติอย่างต่อเนื่อง

“บิ๊กป้อม” ถกพัฒนาอวกาศลดเหลื่อมล้ำ

เมื่อเวลา 10.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ มีนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เข้าร่วม ที่ประชุมรับทราบผลการจัดอันดับความสามารถการแข่งขันด้านดิจิทัลของเขตเศรษฐกิจทั่วโลก ประจำปี 2563 ของสถาบันการจัดการนานาชาติ จัดให้ไทยอยู่ที่อันดับ 39 จาก 63 ประเทศ สูงขึ้น 1 อันดับ พร้อมจัดตั้งชุดปฏิบัติการติดตามเฝ้าระวังและบริหารจัดการการจราจรทางอากาศ และเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.กิจการอวกาศ เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจอวกาศต่อไป โดย พล.อ.ประวิตรชื่นชมดีอีเอส พร้อมกำชับให้ผลักดันการจัดทำนโยบายด้านกิจการอวกาศ และกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้เป็นรูปธรรมโดยเร็ว มุ่งให้เกิดประโยชน์สาธารณะ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ

“บี” หารือ หน.พปชร.ศึกชิงผู้ว่าฯกทม.

ต่อมาเวลา 11.25 น. นายพุทธิพงษ์ในฐานะรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ให้สัมภาษณ์ว่าหลังการประชุมได้หารือเพิ่มเติมกับ พล.อ.ประวิตร ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เกี่ยวกับการส่งผู้สมัครผู้ว่าฯกทม.สัปดาห์หน้า พล.อ.ประวิตร จะเรียกประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) ถึงแนวทางคัดเลือกผู้สมัครผู้ว่าฯกทม.ว่าจะส่งหรือไม่และจะส่งใคร หากไม่ส่งจะมีแนวทางอย่างไร อาทิ สนับสนุนผู้ที่มีความรู้ความสามารถ และมีแนวทางใกล้เคียงกับพรรค พรรคจะดูว่าเป็นเครือข่ายกันหรือไม่ จะสนับสนุนแนวทางใด ยืนยันว่าพรรค พปชร.มีคนเหมาะสมจะลงชิงผู้ว่าฯ กทม. หลายคน กำลังพูดคุยกันอยู่ ทั้งอยากให้ลงในนามพรรค และลงเป็นแนวร่วม เมื่อถามว่ามีชื่อ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา อดีต ผบ.ตร.หรือไม่ นายพุทธิพงษ์ กล่าวว่า ต้องไปดูว่าท่านสนใจจริงหรือไม่ ที่ผ่านมายอมรับว่าเคยทำงานร่วมกัน พูดคุยกันบ้างตามประสาพี่น้อง แต่จะสรุปแบบไหนอย่างไรให้รอดูมติพรรคและการตัดสินใจของหัวหน้าพรรคเป็นหลักว่า ยุทธศาสตร์การขับเคลื่อน กทม.ของพรรคจะเป็นอย่างไร

โอ่แกนหลักส่งใครต้องมั่นใจว่าชนะ

เมื่อถามว่าผู้สมัครของพรรคพลังประชารัฐจะต่อสู้กับนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ อดีต รมว.คมนาคมได้หรือไม่ นายพุทธิพงษ์กล่าวว่า พรรคพลังประชารัฐเป็นพรรคหลักของรัฐบาล หากเราตัดสินใจอย่างไรต้องมั่นใจ คนที่เราส่งต้องมีศักยภาพแก้ไขปัญหาต่างๆ เช่น ปัญหาฝุ่น PM 2.5 และน้ำท่วมให้ชาว กรุงเทพฯได้อย่างดี เราต้องหาคนที่มีความสามารถ ตั้งใจและพร้อมปรับตัวตลอดเวลา พรรคเป็นแกนหลักรัฐบาลหากสนับสนุนใครหรือส่งใครต้องมั่นใจว่าจะชนะ เมื่อถามว่าจะคุยกับพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะพรรคร่วมรัฐบาลก่อนส่งผู้สมัครผู้ว่าฯกทม.หรือไม่ นายพุทธิพงษ์กล่าวว่า ต้องดูเพราะทุกพรรคมีความหวังและตั้งใจอยากส่งผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. ต้องมาคุยกันว่าแต่ละพรรคมีมติอย่างไร ทุกพรรคมีเงื่อนไขและแนวทางหาผู้ว่าฯ กทม.ที่แตกต่างกันต้องดูว่าอะไรเข้ากันได้ต้องมาคุยกัน หากจำเป็นตามแนวทางประชาธิปไตยถ้าไม่มีทางเลือกต้องลงสมัครแข่งขันกันเป็นปกติ

“ประวิตร” ปัดดีล “ชัชชาติ” หลบ “บิ๊กแป๊ะ”

ต่อมาเวลา 11.30 น. พล.อ.ประวิตรให้สัมภาษณ์กรณีนายพุทธิพงษ์เข้าพบว่า สื่ออยากรู้ทำไม ยังไม่ต้องรู้ เพราะเดี๋ยวก็รู้ เมื่อถามว่า ตอนนี้พรรคพลังประชารัฐมีรายชื่อผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. แล้วหรือยัง พล.อ.ประวิตรตอบสวนกลับมาทันทีว่า “มี 10 คน” เมื่อถามว่า พล.ต.อ.จักรทิพย์ถือเป็น 1 ใน 10 หรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า “ผมไม่รู้ จำไม่ได้” เมื่อถามถึงคุณสมบัติของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ถือว่าเพียบพร้อมหรือไม่ พล.อ.ประวิตรยิ้มก่อนถามสื่อว่า “คุณว่าไง คุณเลือกหรือเปล่า” เมื่อถามว่าก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวว่า พล.อ.ประวิตรประสานให้ พล.ต.อ.จักรทิพย์พูดคุยกับนายชัชชาติเพื่อให้หลีกทางให้ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า “ไม่มี ไม่เคยคุย” เมื่อถามย้ำว่า พล.อ.ประวิตรเป็นผู้ประสานเพื่อให้นายชัชชาติหลบ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า “ผมจะไปประสานให้นายชัชชาติหลบได้อย่างไร เพราะถือเป็นสิทธิส่วนบุคคล สื่อถามเช่นนี้ทำให้คนทะเลาะกันนี่หว่า ที่มีข่าวออกมาถือเป็นการพูดกันไปเรื่อย ให้ผมทะเลาะกับคนอื่นเท่านั้น ยืนยันไม่มี”

“อนุชา” ฟุ้งคนอาสาสู้ศึก กทม.อื้อซ่า

นายอนุชา นาคาศัย รมต.ประจำสำนักนายกฯ ในฐานะเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงการพิจารณาบุคคลลงสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.ว่า มีคนมาขออาสาเป็นจำนวนมากอยู่แล้ว เชื่อว่าจะนำมาพูดคุยกันภายในที่ประชุมผู้บริหารของพรรคก่อน ส่วนจะประชุมช่วงไหนยังไม่มั่นใจ เพราะผู้ว่าฯกทม.ยังอีกนาน จะต้องเป็นไปหลังการเลือกตั้ง อบจ. และท้องถิ่น เมื่อถามว่ามีชื่อ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา อดีต ผบ.ตร.ด้วยหรือไม่ นายอนุชากล่าวว่า ไม่ทราบ เมื่อถามอีกว่า พรรคร่วมรัฐบาลต้องพูดคุยกันเพื่อหลีกทางการส่งผู้สมัครให้กันหรือไม่ เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐกล่าวว่า พรรคร่วมรัฐบาลคงไม่มีการคุยกัน เรื่องผู้ว่าฯกทม. ไม่มีพรรคไหนเขาคุยกัน

อุบไต๋ไม่พูด “จักรทิพย์” เหมาะหรือไม่

เมื่อเวลา 13.40 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ว่า เขายังไม่ได้จัดการเลือกตั้งเลย เมื่อถามว่า จะมีการเลือกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ก่อนใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า อาจเป็นอันดับแรกขึ้นอยู่กับคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาร่วมกัน ส่วนการเลือกตั้งประเภทอื่นๆทยอยเป็นลำดับไป ทุกคนบอกว่าการเลือกตั้งทำให้ทุกอย่างดีขึ้น เมื่อถามว่า มีแคนดิเดตผู้ว่าฯ กทม.ไว้ในใจไว้หรือไม่ นายกฯกล่าวว่า ถ้ามีคนในใจแต่ประชาชนเขาไม่เลือก แล้วจะมีไว้ทำไม เมื่อถามว่า สเปกผู้ว่าฯ กทม.นายกฯเป็นอย่างไร นายกฯกล่าวว่า ต้องเป็นคนดี คนบริสุทธิ์ ทำงานโปร่งใส มีประสิทธิภาพแก้ปัญหาเป็นรูปธรรมให้มากที่สุด ประชาชนพอใจ มีความสุข การทำงานเข้ากันกับรัฐบาลในสิ่งที่ถูกต้อง ไม่ใช่เข้ากันในสิ่งที่เอื้อประโยชน์ไม่ต้องการ ต้องการหาคนทำงานให้ประเทศชาติอย่างแท้จริง เข้มแข็งเพียงพอที่จะทำงานในช่วงเวลานี้ เมื่อถามว่า พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา อดีต ผบ.ตร. เป็นสเปกหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ ตอบว่า ต้องดูกันไปก่อน เมื่อถามย้ำว่า พล.ต.อ.จักรทิพย์ มีความเหมาะสมลงชิงผู้ว่าฯ กทม.หรือไม่ นายกฯกล่าวว่า ต้องถามประชาชน

ปชป.เล็งโละ ส.ส.กาฝากยื่นยุบตัวเอง

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีนายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ พาดพิงพรรคประชาธิปัตย์โหนกระแสการชุมนุมและร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคประชาธิปัตย์เปิดทางให้แก้รัฐธรรมนูญหมวด 1 หมวด 2 ว่า ไม่เป็นความจริง ขยะแขยง นายไพบูลย์ต่างหากไม่คิดจะคืบมีแต่จะคาบ ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญพรรคร่วมรัฐบาลกำหนดชัดเจนไม่แก้ไขหมวด 1 และ 2 มาด่าพรรคประชาธิปัตย์เช่นนี้ได้อย่างไร อย่าไปห้อยโหน ส.ว. พรรคเตรียมเรื่องสิทธิเสรีภาพประชาชนแล้วควรต้องทบทวนกรณีการเลิกกิจการพรรคการเมืองยื่นยุบพรรคตัวเอง ให้ ส.ส.บัญชีรายชื่อย้ายไปอยู่พรรคอื่น คะแนนจะโอนไปพรรคใหม่หรือไม่ ยังสงสัยว่า ส.ส.ที่ย้ายไปจะไปอยู่ลำดับบัญชีรายชื่อที่เท่าไหร่ในพรรคใหม่ หากแก้รัฐธรรมนูญควรกำหนดให้ชัดเจนเลยว่าการย้ายไปเป็นกาฝากที่พรรคใหม่จะไปอยู่ตรงไหน อย่างไร เชื่อว่าทุกฝ่ายเห็นตรงกันเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญ ฝ่ายรัฐบาลกับฝ่ายค้านไม่มีปัญหาเสนอร่างแต่ละฝ่ายอยู่แล้ว เมื่อถึงวาระรับหลักการคงเป็นอย่างอื่นไม่ได้ ฝ่ายวุฒิสมาชิกเชื่อว่า กมธ.วิสามัญแก้รัฐธรรมนูญก่อนรับหลักการจะได้ทำความเข้าใจให้เห็นไปในทิศทางเดียวกันหากผู้มีความผูกพันแต่งตั้ง ส.ว.ช่วยทำความเข้าใจ เชื่อว่าจะผ่านไปได้ไม่ยากนัก

“คึก” สะกิด ส.ว.ดูซิกนายกฯ-ฟัง ปชช.

นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกระแสข่าวนายกฯส่งสัญญาณยอมรับให้แก้รัฐธรรมนูญว่า ถ้าจริงน่ายินดี เป็นโชคดีของประเทศที่ผู้นำประเทศยอมรับฟังเสียงประชาชนทำตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล สังคมไทยเริ่มมีความหวังว่าประเทศจะก้าวผ่านวิกฤติไปได้ รัฐธรรมนูญเป็นปัญหาหลักของประเทศ การแก้ให้เป็นประชาธิปไตยเท่านั้นคือทางออกแท้จริง ขอให้ ส.ว.เห็นความสำคัญ เข้าใจถึงปัญหาที่เกิดขึ้นเช่นเดียวกับนายกฯ ถ้าคณะ กมธ.วิสามัญได้พิจารณารอบคอบคงเข้าใจถึงความจำเป็น ส.ว.10 คนที่เป็นคณะ กมธ.ฯล้วนคัดค้านหัวชนฝาเมื่อยอมรับ เข้าใจประเด็นปัญหาเสียง ส.ว. 84 เสียงหาได้ไม่ยากนัก จึงขอให้ ส.ว.ทั้งหมดรับฟังเสียงเรียกร้องจากประชาชน และดูท่าทีหรือยอมรับการส่งสัญญาณการแก้ไขรัฐธรรมนูญจากผู้นำรัฐบาลด้วย

“สุรพล” ให้ 15 วัน กกต.คืนตำแหน่ง ส.ส.

เมื่อเวลา 10.00 น. ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายสุรพล เกียรติไชยากร อดีต ส.ส.เขต 8 เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย ยื่นคำร้องต่อ กกต.ขอให้ทบทวนใบส้มและคืนสิทธิการเป็น ส.ส.ให้กับตัวเอง หลังศาลฎีกามีคำพิพากษายกฟ้องใบส้มของ กกต. และให้นายสุรพลชดใช้ค่าเสียหายในการจัดการเลือกตั้งใหม่ โดยนายสุรพลกล่าวว่า ตามคำพิพากษาของศาล แสดงว่าสิ่งที่ กกต.ปฏิบัติกับตนถือว่าขาดความเที่ยงธรรม ที่ กกต.อ้างรัฐธรรมนูญมาตรา 225 ว่าการวินิจฉัยของ กกต.ถือเป็นที่สุด คำว่าสิ้นสุดต้องสิ้นสุดด้วยความถูกต้อง อย่าลืมว่าในบทบัญญัติดังกล่าวกำหนดว่าการวินิจฉัยของ กกต.ต้องสุจริตและเที่ยงธรรม รอบคอบ ไม่ทำให้เสียหายในการเลือกตั้ง แต่สิ่งที่ กกต.ทำในคดีนี้ กลับเร่งรีบวินิจฉัยเพราะสำนวนคดีจาก กกต.เชียงใหม่ ถึงสำนักงาน กกต.เวลา 10.02 น. วันที่ 23 เม.ย.62 กกต.พิจารณาเลยเวลา 15.00 น. วันเดียวกัน ทั้งที่ในสำนวนมีหลายเรื่องจำเป็นต้องมาเรียกร้องขอความเป็นธรรม ขอให้ กกต.ทบทวน เมื่อตนไม่ผิด กกต.ต้องคืนสิทธิประโยชน์ให้ตน และคืนความเป็น ส.ส.ของตนให้ประชาชนเขต 8 เชียงใหม่ ให้เวลา กกต. 15 วัน ถ้ายังไม่ดำเนินการใดๆจะให้ทีมทนายฟ้องละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ตามมาตรา 157

แนะวางบรรทัดฐานรู้ตัวว่าผิดแก้ได้

ด้านนายปกป้อง กลับวิเศษ ทนายความของนายสุรพล กล่าวว่า ศาลฎีกามีคำพิพากษาเช่นนี้ อยากให้ กกต.ทบทวนเสียก่อน กกต.เป็นสถาบันหลักของประเทศ จึงอยากให้ กกต.วางบรรทัดฐานว่าเมื่อวินิจฉัยผิดก็แก้ไขได้ แต่หากเพิกเฉย ยังคงให้เลขาฯหรือรองเลขาฯออกมาชี้แจงได้เพียงเท่านี้ต้องดำเนินการตามกฎหมาย เพราะเวลานี้นายสุรพล ได้รับการกดดันจากพี่น้องเขต 8 เชียงใหม่ ต้องได้กลับมาเป็น ส.ส. แม้กฎหมายจะไม่ได้เขียนแน่ชัดว่าให้ กกต.ทบทวนได้ แต่การกระทำนั้นมันถึงที่สุดและถูกลบล้างไปแล้ว น่าจะยึดกฎหมายพื้นฐานทั่วไป เฉกเช่นเดียวกับระเบียบทางการปกครองที่หากผิดพลาดก็แก้ไขได้

บี้หาทางออกไม่ใช่ยันอำนาจเป็นที่สุด

เมื่อเวลา 12.00 น. นายชูศักดิ์ ศิรินิล รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์กรณี พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการ กกต. ยืนยันการให้ใบส้มนายสุรพล ตามมาตรา 225 ที่ให้อำนาจไว้และถือเป็นที่สุดว่า เขียนรัฐธรรมนูญเช่นนี้ให้อำนาจกึ่งตุลาการตัดสินคดี เดิม กกต.มีอำนาจนี้แต่ถูกวิจารณ์ว่า กกต.สืบสวนสอบสวน ตัดสินเองทั้งหมด อันตรายและไม่เป็นธรรม ถ้า กกต.ใช้ดุลพินิจผิดจะไม่มีหน่วยงานไหนถ่วงดุล รัฐธรรมนูญ 50 จึงให้อำนาจเหล่านี้ไปอยู่ที่ศาลเลือกตั้ง แต่รัฐธรรมนูญ 60 กลับเขียนให้ใบเหลืองใบแดงไปอยู่ที่ศาล และเพิ่มใบส้มเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง เอาบุคคลออกจากเวทีเลือกตั้ง ถ้า กกต.ใช้ดุลพินิจผิดพลาดจะทำให้เสียหาย นายสุรพลมีคะแนน 5 หมื่นกว่าแต่ไม่ได้เป็น ส.ส. สมัครใหม่ก็ไม่ได้ ที่สำคัญรัฐธรรมนูญไม่ได้เขียนทางออกว่าเกิดกรณีศาลฎีกายกคำร้องเช่นนี้จะทำอย่างไร ที่บอกว่าต้องคืนสิทธิ กกต.คงต้องไปดูว่ามีช่องทางใด จะทำอย่างไร ต้องคิดหาทางออกไม่ควรอ้างว่าคำวินิจฉัยเป็นที่สุด ค้านความรู้สึกประชาชน กกต.ควรคิดว่าจะมีทางออกอย่างไรเพื่อทำอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อให้ความเป็นธรรมต่อนายสุรพลอย่าอ้างเพียงถึงที่สุด

อัดยับ รธน.จับตรงไหนมีปัญหาตรงนั้น

นายชูศักดิ์กล่าวอีกว่า พรรคเพื่อไทยและตนไม่เห็นด้วยกับการให้อำนาจเช่นนี้กับ กกต.ตั้งแต่มีการร่างรัฐธรรมนูญแล้ว เมื่อถามว่าเมื่อมองว่าพรรคจะยื่นแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรานี้หรือไม่ นายชูศักดิ์กล่าวว่า แน่นอนมันต้องแก้ มาตรานี้อยู่ในกระบวนการเลือกตั้ง ควรแก้ส่วนนี้ด้วย แต่พรรคจะยังไม่ยื่นแก้มาตรา 225 ขณะนี้ เพราะตอนนี้มีร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญหลายร่าง ยังไม่รู้ว่าแต่ละร่างจะไปอย่างไร เมื่อถามว่านอกจากมาตรา 225 แล้วยังมีมาตราอื่นที่เป็นปัญหาหรือไม่ นายชูศักดิ์ ตอบว่า จริงๆมีเยอะไปหมด จับตรงไหนก็ไม่ถูกไปหมด แต่หลักของพรรคเพื่อไทยเห็นว่ารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ควรมาจากประชาชน เราจึงเสนอให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ที่มาจากประชาชนมายกร่าง ที่ยื่นแก้รายมาตราเป็นเฉพาะที่จำเป็นตอนนี้ เช่น อำนาจ ส.ว. เรื่องอื่นควรให้เป็นหน้าที่ของตัวแทนประชาชน ไม่เช่นนั้นจะมี ส.ส.ร.ทำไม

“พิชัย” มั่นใจ ศก.พา พท.กลับมาเป็น รบ.

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ตนตัดสินใจกลับเข้าพรรคเพื่อไทยตามคำเชิญชวนของผู้ใหญ่ที่เคารพในพรรคหลายท่าน ดีใจที่ได้กลับมาเพราะพรรคเพื่อไทยเปรียบเสมือนเป็นบ้านที่คุ้นเคย เชื่อว่าพรรคเพื่อไทยจะเป็นทางเลือกอันดับหนึ่งให้ประชาชนได้ โพลสำรวจล่าสุดพรรคเพื่อไทยยังมาเป็นอันดับหนึ่ง 19.3% มีพรรคก้าวไกล 12.7% และพรรคพลังประชารัฐ 12.3% แต่ยังมีประชาชนที่ยังไม่ตัดสินใจเลือกพรรคไหนอีก 41.5% พรรคเพื่อไทยต้องโน้มน้าวประชาชนกลุ่มนี้ให้มาเลือกพรรคเพื่อไทยให้ได้ โดยเฉพาะประเด็นด้านเศรษฐกิจจะเป็นจุดขายหลัก ปัจจุบันประเทศกำลังประสบปัญหาเศรษฐกิจอย่างมาก ตนได้รับมอบหมายให้เป็นรองหัวหน้าพรรค เพื่อมาดูเรื่องเศรษฐกิจ เชื่อว่าแนวทางเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทยต่อจากนี้จะเป็นทางออกให้ประเทศได้ จะโน้มน้าวให้ประชาชนมาเลือกพรรคเพื่อไทยให้มากขึ้นจนจัดตั้งรัฐบาลเพื่อแก้ปัญหาให้ประชาชนได้

“พจมาน-ป้าแจ๋ว” คุมโปลิตบูโร พท.

ผู้สื่อข่าวรายงานจากพรรคเพื่อไทยว่า การบริหารภายในพรรคเพื่อไทยหลังปรับโครงสร้างพรรคใหม่นั้น จะมีคณะกรรมการกำหนดทิศทางพรรค อยู่เหนือคณะกรรมการบริหารพรรค หรือ “โปลิตบูโร” ทำหน้าที่คอยกำกับกำหนดทิศทางพรรค แล้วส่งต่อไปให้คณะกรรมการบริหารพรรคแจกจ่ายงานไปยังส่วนต่างๆอีกทีหนึ่ง นอกจากจะทำงานแบบบนลงล่างแล้ว จะทำงานลักษณะคู่ขนานกันไปด้วย ต่างจากการทำงานของคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคที่คอยกำหนดทิศทางของพรรคเป็นหลักเพียงชุดเดียว และแน่ชัดแล้วว่าโครงสร้างใหม่ของพรรคเพื่อไทยจะไม่มีคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคอีกต่อไป อย่างไรก็ตามหลังจากเลือกกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่และปรับโครงสร้างใหม่ คณะทำงานส่วนใหญ่ล้วนเป็นบุคคลใกล้ชิดกับนายทักษิณ ชินวัตร กับคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ แทบทั้งสิ้นแล้ว คุณหญิงพจมานมีบทบาทสำคัญจะเข้าร่วมประชุม “โปลิตบูโร” อย่างน้อยเดือนละครั้ง โดยจะมอบหมายให้เพื่อนสนิทคือนางจุฑารัตน์ เมนะเศวต เลขาส่วนตัวหรือรู้จักกันในนาม “ป้าแจ๋ว” เป็นตัวแทนการประชุมหรือดำเนินการต่างๆแทน นางจุฑารัตน์เป็นที่รับรู้กันในแวดวงแกนนำพรรคเพื่อไทย ส.ส. และสมาชิกพรรคว่าเป็นสายตรงที่คุณหญิงพจมานส่งมา ต่างเคารพยำเกรงและเคยมีบทบาทสำคัญขับเคลื่อนอดีตพรรคไทยรักษาชาติมาแล้ว

ป.ป.ช.จ่อรับรองมติชี้มูลผิด “นิพนธ์”

อีกเรื่อง ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พล.ต.อ. วัชรพล ประสารราชกิจ ประธาน ป.ป.ช. ให้สัมภาษณ์กรณี ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิดนายนิพนธ์ บุญญามณี รมช.มหาดไทย เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) สงขลา ละเลยปฏิบัติหน้าที่ไม่อนุมัติงบประมาณเบิกจ่ายเงินให้บริษัท พลวิศว์เทค พลัส จำกัด ทำสัญญาซื้อรถซ่อมบำรุงทางอเนกประสงค์ 2 คันวงเงิน 50,850,000 บาท ว่า กระบวนการพิจารณาชี้มูลความผิดยังไม่เสร็จสมบูรณ์ จะนำเข้าสู่ที่ประชุม ป.ป.ช.ชุดใหญ่ต้นสัปดาห์หน้า เพื่อพิจารณาว่าจะรับรองมติที่ ป.ป.ช.มีไปก่อนหน้านี้ จากนั้นจะแถลงรายละเอียดต่อสาธารณชน

หยุดทำหน้าที่ มท.2 หรือไม่อยู่ที่ศาลสั่ง

นายนิวัติไชย เกษมมงคล รองเลขาธิการ ป.ป.ช. และโฆษก ป.ป.ช. กล่าวว่า คดีนี้ถูกนำเข้าสู่การพิจารณาในที่ประชุม ป.ป.ช.ชุดใหญ่แล้ว แต่ยังไม่มีการยืนยันรับรองการลงมติชี้มูลความผิด ขั้นตอนยังไม่เสร็จสมบูรณ์ หากชี้มูลความผิดเสร็จสิ้นแล้วจะส่งเรื่องให้อัยการสูงสุด ยื่นฟ้องต่อศาลคดีทุจริตและประพฤติมิชอบต่อไป ประเด็นเจ้าหน้าที่รัฐกระทำการทุจริตในตำแหน่งหนึ่ง แต่ปัจจุบันเข้ารับตำแหน่งใหม่จะส่งผลให้พ้นจากการดำรงตำแหน่งใหม่หรือไม่เป็นเรื่องต้องตีความ ถ้าอัยการสูงสุดยื่นฟ้องไปยังศาลจะพิจารณาว่าต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ตำแหน่งใหม่หรือไม่ จึงบอกไม่ได้ว่าหากนายนิพนธ์ ถูกชี้มูลความผิดจริงจะพ้นจากรัฐมนตรีหรือไม่

ฟันนายก อบจ.ลำพูนซื้อของแจกเว่อร์

ผู้สื่อข่าวรายงานจากสำนักงาน ป.ป.ช. ว่า ในการประชุม ป.ป.ช.ชุดใหญ่ไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาได้ลงมติชี้มูลความผิดนายนิรันดร์ ด่านไพบูลย์ นายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบจ.) ลำพูนกับพวก รวม 15 คน ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ กรณีจัดซื้อชุดของใช้ประจำวัน (แคร์เซ็ต) แจกผู้สูงอายุโครงการป้องกันกลุ่มเสี่ยงการติดเชื้อโควิด-19 รวม 27,700 คน วงเงิน 17.1 ล้านบาท จากบริษัทเอกชนราคาแพงเกินจริง จัดซื้อแคร์เซ็ตชุดละ 590 บาท ไม่ได้สืบราคาก่อน เทียบกับการสืบราคาจากร้านค้าอื่นใน จ.ลำพูน อีก 25 ร้านค้า ราคาเฉลี่ยชุดละ 315 บาท จัดซื้อราคาสูงกว่าท้องตลาด จึงชี้มูลความผิดนายนิรันดร์และคณะผู้บริหาร อบจ.รวม 10 คน ผิดวินัยร้ายแรงและผิดประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 บริษัทเอกชน 3 ราย มีความผิดทางอาญา และเจ้าหน้าที่ อบจ. อีก 2 ราย มีความผิดวินัยไม่ร้ายแรง หลังจากนี้ ป.ป.ช.จะส่งเรื่องให้อัยการส่งฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ส่วนความผิดทางวินัยนั้น ป.ป.ช.จะส่งเรื่องไปให้ผู้บังคับบัญชาพิจารณาลงโทษทางวินัยต่อไป

“นิพนธ์” แจงประมูลก่อนนั่งนายก อบจ.

นายนิพนธ์ บุญญามณี รมช.มหาดไทย เปิดเผยว่า โครงการจัดหารถซ่อมทางวงเงิน 52 ล้านบาท มีผู้ยื่นประมูล 2 ราย คือบริษัท พลวิศว์ เทค พลัส จำกัด ยื่นประมูล 50,850,000 บาท และบริษัท เอส พี เค ออโต้เทค จำกัด ยื่นประมูล 50,900,000 บาท ปรากฏบริษัท พลวิศว์ เทค พลัส จำกัด ชนะประมูลราคาต่ำกว่า 50,000 บาท และมีการร้องเรียนว่าทั้ง 2 บริษัทมีการทุจริต ต่อมาตรวจสอบพบว่าบริษัททั้ง 2 มีการปลอมแปลงเอกสารยื่นประมูลงาน ต่อมาวันที่ 31 พ.ค.56 นายก อบจ.สงขลา ได้ลงนามในสัญญากับบริษัทชนะประมูลกำหนดส่งมอบรถภายใน 180 วัน หลังลงนามในสัญญาเพียง 7 วัน นายก อบจ.สงขลา ขณะนั้นประกาศลาออกจากตำแหน่งก่อนตนรับตำแหน่งนายก อบจ.สงขลาปฏิบัติหน้าที่ 28 ส.ค.56

แจงไม่อนุมัติงบฯรักษาผลประโยชน์รัฐ

นายพิพนธ์กล่าวอีกว่า ต่อมาบริษัท พลวิศว์ฯส่งมอบรถตามสัญญาวันที่ 8 ต.ค.56 จากนั้นวันที่ 21 พ.ย.56 ระหว่างผลทดสอบตรวจรับรถยังไม่เสร็จสิ้นบริษัท ไทยวินเนอร์ ทรัค จำกัด ได้ร้องเรียน ผวจ.สงขลา ผู้ตรวจเงินแผ่นดินภาค 15 ป.ป.ช. และตนว่ามีการฮั้วประมูลและล็อกสเปก ตนเพิ่งรับตำแหน่งไม่ทราบรายละเอียดจำเป็นต้องตรวจสอบข้อเท็จจริง วันที่ 7 ม.ค.57 รอง ผวจ.สงขลา ปฏิบัติหน้าที่แทน ผวจ.สงขลา มีหนังสือให้ตรวจสอบจึงตั้งคณะกรรมการตรวจสอบตามคำสั่ง ผวจ.สงขลา และคู่กรณีทั้ง 2 ฝ่ายร้องเรียน จากนั้น 5 มิ.ย.57 ยังอยู่ระหว่างตรวจสอบข้อเท็จจริงของคณะกรรมการ ผวจ.สงขลา มีหนังสือถึง อบจ.สงขลา ขอให้จ่ายเงินให้แก่บริษัทพลวิศว์ฯเห็นว่าเพื่อประโยชน์ทางราชการและเป็นธรรมทุกฝ่าย หากอนุมัติให้จ่ายเงินไปโดยตรวจสอบข้อเท็จจริงยังไม่เสร็จสิ้น และหากคณะกรรมการเห็นว่าการจัดซื้อไม่ชอบ การประมูลตกเป็นโมฆะจะยิ่งทำให้รัฐเสียหายเป็นเงินจำนวนมากยากจะเรียกเงินคืน ทั้งบริษัทพลวิศว์ฯมีทุนจดทะเบียนเพียง 1 ล้านบาท ถ้าอนุมัติให้จ่ายเงินอาจถูกดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและอาญา ที่สำคัญวันที่ 25 ก.ค.57 รายงานผลการสอบข้อเท็จจริงว่าการประมูลมีเจตนาไม่สุจริตเป็นการสมยอม (ฮั้ว) กันเสนอราคา การประกวดราคาและการจัดซื้อจึงเป็นโมฆะ อบจ.สงขลาได้นำผลรายงานนี้ให้ศาลปกครองพิจารณา รายงาน ผวจ.สงขลา ผู้ตรวจเงินแผ่นดินภาค 15 และ ป.ป.ช.

อ้าง ตปท.รับรองมีเอกสารปลอม

นายนิพนธ์กล่าวอีกว่า ยังปรากฏหลักฐานจากต่างประเทศหลายแห่ง เช่น สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ออสเตรเลีย หลักฐานจากนอร์เวย์ สหรัฐฯ มาเลเซีย เป็นต้นที่รับรองไว้ว่าบริษัทคู่เทียบเอกชนดังกล่าวไม่มีตัวตนอยู่จริง การปลอมแปลงเอกสารดังกล่าวอบจ.สงขลาได้แจ้งความไว้ที่ สภ.เมืองสงขลาไว้แล้ว เมื่อถามว่าการถูก ป.ป.ช.ชี้ว่าบกพร่องการปฏิบัติหน้าที่จะแสดงความรับผิดชอบอย่างไร นายนิพนธ์ตอบว่า ยืนยันการปฏิบัติหน้าที่ของตน ทำเพื่อรักษาผลประโยชน์ทางราชการและรัฐ ไม่ใช่ถูกชี้ว่าทุจริต หากศาลมีคำสั่งออกมาอย่างไรพร้อมปฏิบัติตาม สิ่งที่ทำคือการทำหน้าที่ไม่จำเป็นต้องลาออกจากตำแหน่ง รมช.มหาดไทย

“วิษณุ” ชี้ยังไม่ต้องหยุดทำหน้าที่ รมต.

นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ให้สัมภาษณ์ว่า นายนิพนธ์ไม่ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่เพราะตามรัฐธรรมนูญ 60 ต่อให้ ป.ป.ช.ชี้มูลใครก็ตามก็ไม่ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าจะมีการส่งเรื่องไปถึงศาล และศาลอาจจะสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ก่อนหรือไม่ก็ได้ แต่ถ้ายังไม่ถึงศาลยังมีอัยการคั่นกลางอยู่ ก่อนหน้านี้มีกรณีของนายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกฯและ รมว.ต่างประเทศ เคยถูกส่งเรื่องไปที่ศาล ศาลก็ให้ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป อย่างไรก็ตามที่ก่อนหน้านี้ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่เพราะรัฐธรรมนูญ 50 กำหนดให้ต้องหยุดเมื่อ ป.ป.ช.ชี้มูล แต่รัฐธรรมนูญปี 2560 มีเปลี่ยนแปลงโดยมาตรา 235 วรรค 3 ระบุว่า เมื่อศาลฎีกาหรือศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองประทับรับฟ้องให้ผู้ถูกกล่าวหาหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าจะมีคำพิพากษา เว้นแต่ศาลจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น

“บิ๊กบัง” แนะปรับตัวคิดให้ทันเด็ก

ที่สโมสรกรมสรรพาวุธ ทหารบก พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีต ผบ.ทบ.และอดีตประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ให้สัมภาษณ์เปิดใจเนื่องในวันคล้ายวันเกิดครบ 74 ปี 2 ต.ค.ถึงปรากฏ-การณ์ที่เยาวชนออกมาชุมนุมตอนหนึ่งว่า ถือเป็นธรรมชาติของระบอบประชาธิปไตย ที่มีความคิดไม่เหมือนกันเรื่องปกติ เพียงแต่ผู้ใหญ่อย่าไปคิดว่าสิ่งที่ตัวเองคิดถูก ต้องมองว่าเราสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ทันกับสิ่งที่เด็กคิดได้หรือไม่ ต้องเชื่อมโยงกัน ผู้ใหญ่ควรมองเด็กให้ถูกและเด็กต้องเข้าใจปัญหาของผู้ใหญ่ อย่ามองข้ามพื้นฐานของความเป็นจริง ส่วนข้อเรียกร้องเกี่ยวกับเรื่องสถาบันนั้น ประเทศเราอยู่มาเป็นพันปีได้เพราะสถาบันที่เป็นหลัก มีบุญคุณกับแผ่นดิน ถือเป็นปูชนีย์ทางความคิดเป็นสิ่งที่ต้องยึดเอาไว้ แต่เราต้องมามองว่าประชาธิปไตยและสังคมนิยมจะเอาแบบไหน ตนมองว่าต่างมีข้อดีข้อเสียจึงเสนอการปกครองประชาธิปไตยแบบไทยๆ มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เด็กรุ่นใหม่อาจจะมองสถาบันมีประโยชน์ไม่มาก แต่จริงๆแล้วให้ย้อนในอดีตว่าสถาบันได้สร้างอะไรให้กับประเทศบ้าง

ชี้ ปว.ไม่ช่วยอะไรแนะนิรโทษการเมือง

เมื่อถามว่า สถานการณ์การเมืองปี 2549 ต่างจากปัจจุบันอย่างไร พล.อ.สนธิตอบว่า สถานการณ์แต่ละห้วงไม่เหมือนกัน ปัญหาที่บ่นกันมากคือเรื่องคอร์รัปชัน รัฐบาลต้องมองและทำให้ประชาชนเห็นถึงความโปร่งใส แต่หากเป็นความผิดพลาดทางการเมืองที่เกิดจากความเห็นต่างแล้วฝ่ายปกครองบอกว่า ผิดกฎหมายและติดคุกต้องนิรโทษกรรม ให้อภัยกับคนที่มีความคิดและความแตกต่างทางการเมือง แต่ถ้าเป็นคดีอาญาต้องแยกถือเป็นของขวัญที่ตนอยากเห็น และตนไม่เชื่อว่าจะมีรัฐประหาร ไม่เชื่อว่าการปฏิวัติจะใช้แก้ไขปัญหาได้ในเวลานี้ ปัญหามันหนักกว่าเมื่อปี 2549 วันนี้ความขัดแย้งสองฝ่ายแย่กว่าเก่า ต้องแก้ไขปัญหาตามที่รัฐบาลกำลังทำอยู่ถูกต้องแล้ว แต่ต้องอดทนทำความเข้าใจให้ทุกกลุ่มหันกลับมาคิดและช่วยกัน

เชื่อ “ทักษิณ” คงไม่คิดสู้ไปจนแก่

เมื่อถามว่า มองบทบาทนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ อย่างไรบ้าง พล.อ.สนธิตอบว่า นายทักษิณ อายุอ่อนกว่าตน 3 ปี ปัจจุบันก็ 70 กว่าปีแล้ว ต้อง มองว่าจะมีความสุขกายสุขใจอย่างไร คงไม่คิดจะสู้ไปถึงปานนั้น ตนคิดว่าคนรุ่นใหม่ที่มีการขับเคลื่อนในทุกวันนี้กำลังมีบทบาทมากกว่า และน่าจะเกิดกับคนรุ่นใหม่ เมื่อถามว่า ถึงปัจจุบันนายทักษิณได้ติดต่อมาบ้างหรือไม่ พล.อ.สนธิตอบว่า “ถ้าคุณทักษิณเจอผมเขาจะเรียกพี่” เมื่อถามย้ำว่า ได้ติดต่อกันหรือไม่ พล.อ.สนธิตอบว่า ไม่ และไม่ได้ติดต่อกันอย่างนั้น แต่เจอกัน เขาก็ยังเรียกพี่อยู่ และไม่เคยรื้อฟื้น อดีตมาพูดคุยกัน ผมมองว่าท่านก็เป็นสุภาพบุรุษ เราจบเตรียมทหารมาด้วยกัน เป็นพี่เป็นน้องตัดกันไม่ขาดจะเกลียดกันแค่ไหน เดี๋ยวก็ดีกัน

มธ.-จุฬาฯนัดชุมนุมใหญ่ 14 ต.ค.

เมื่อเวลา 17.00 น. กลุ่มเยาวชนปลดแอก หรือ Free YOUTH นำโดยนายทัตเทพ เรืองประไพกิจเสรี บัณฑิตรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ โพสต์ข้อความประกาศนัดหมายชุมนุมผ่านเฟซบุ๊กเพจกลุ่มเยาวชนปลดแอก ระบุว่า ม็อบพร้อมกันโดย ได้นัดหมายเมื่อรัฐสภาไม่ฟังก์ชัน นี่คือเวลาแห่ง “ท้องถนน” เราคือนักเรียน เราคือเยาวชน เราคือประชาชน และสุดท้ายเราคือคนที่รักชาติเหมือนๆกันกับคุณ เพราะรักจึงหวังอยากให้ประเทศเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีกว่า ต้องการให้อนาคตของเยาวชนและประชาชนมองเห็นแสงสว่าง หากดวงตาไม่ได้มืดบอดจนเกินไป เราจะเห็นว่าสังคมไทยยังเต็มไปด้วยความเหลื่อมล้ำ เอื้อพวกพ้อง ทุนกำลังผูกขาด นี่ไม่ใช่อนาคตที่เราคาดหวังไม่ว่าคุณจะเป็นนักเรียน นิสิต นักศึกษา กรรมกร ชาวนา แรงงาน พนักงานออฟฟิศ LGBT เราทุกคนต่างถูกกดทับจากโครงสร้างที่ไม่เป็นธรรมและไม่เป็นประชาธิปไตยแบบนี้ 14 ตุลาคม เป็นต้นไปเวลา 14.00 น. พร้อมกันที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ออกมายืนยันว่าประเทศไทยดีกว่านี้ได้ นี่ไม่ใช่เพียงการเคลื่อนไหวของเยาวชนปลดแอก แต่การเคลื่อนไหวนี้เป็นของราษฎรทุกคน เราทุกคนล้วนเป็น #คณะราษฎร

รวมพลคณะราษฎรที่อนุสาวรีย์ ปชต.

ขณะเดียวกัน กลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม นำโดยนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ (เพนกวิน) คณะรัฐศาสตร์ มธ. และ น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล (รุ้ง) คณะสังคมวิทยา มธ.ได้ประกาศการชุมนุมวันที่ 14 ต.ค. ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเช่นกัน แต่ใช้สโลแกนว่า “เพราะเราทุกคนคือคณะราษฎร และคณะราษฎรยังไม่ตาย”

นร.เลวขึ้นรถแห่ตระเวนไล่ รมว.ศธ.

วันเดียวกัน กลุ่มนักเรียนเลว นำโดยนายลภนพัฒน์ หวังไพสิฐ แกนนำจัดกิจกรรมติดแฮชแท็ก #ไสรถแห่ไปกูจะไล่อีณัฏฐพลให้ดูเป็นขวัญตา ขึ้นรถแห่ไปตามโรงเรียนต่างๆ 5 โรงเรียนเพื่อขับไล่นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ เริ่มชุมนุมตั้งแต่ เวลา 13.00 น.ที่หน้ารั้วโรงเรียนสามเสนวิทยาลัย ถนนพระราม 6 เป็นจุดแรก ร่วมกันผูกโบขาวที่รั้วโรงเรียน มีนักเรียน ร.ร.สามเสนฯจำนวนหนึ่งวิ่งมาสมทบ ก่อนแกนนำเปิดปราศรัยโจมตีผู้บริหาร ร.ร.สามเสนฯ อ่านแถลงการณ์เรียกร้องให้ยุติการลงโทษด้วยวิธีที่รุนแรงทำร้ายร่างกายนักเรียน ภายในโรงเรียนมีนักเรียนพากันมายืนออที่ตึกกิจการนักเรียนสังเกตการณ์จำนวนมาก จากนั้นเวลา 14.00 น. จึงเคลื่อนขบวนต่อไปที่หน้า ร.ร.เตรียมอุดมศึกษา และ ร.ร.เซนต์โยเซฟคอนแวนต์ สีลม บางรัก ตามลำดับ

ฝ่าฝนไฮปาร์กจี้ยุติทำโทษรุนแรง

ต่อมาเวลา 16.35 น. รถแห่เคลื่อนไปถึงหน้า ร.ร.เทพศิรินทร์ ถนนกรุงเกษม แขวงวัดเทพศิรินทร์ เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กทม.ท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก มีนักเรียน ร.ร.เทพศิรินทร์ราว 100 คน ตากฝนรอต้อนรับและส่งตัวแทนขึ้นรถแห่ไปมอบพานพุ่มแก่ผู้นำกลุ่มนักเรียนเลว นายลภนพัฒน์ ได้ปราศรัยและยื่นหนังสือผ่านตัวแทนเรียกร้องให้ผู้บริหาร ร.ร.เทพศิรินทร์ปฏิบัติตามหลักสิทธิมนุษยชน 2 ข้อ คือ 1.ให้เด็กนักเรียนทุกระดับชั้นไว้ผมยาวตามความสมัครใจ และ 2.เรียกร้องให้ครูอาจารย์ยุติการทำโทษด้วยความรุนแรงละเมิดสิทธิมนุษยชนและผิดกฎหมาย อีกทั้งยังเชิญชวนให้นักเรียนไปร่วมชุมนุมที่หน้ากระทรวงศึกษาธิการ และเคลื่อนขบวนต่อไปยังหน้า ร.ร.วัดราชบพิธ ปากคลองตลาด

มอบเค้กประชดผลงาน “ตั้น” เละเทะ

กระทั่งเวลา 17.30 น. ขบวนแห่ไปหยุดทำกิจกรรมที่หน้ากระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) มีนายสุภัทร จำปาทอง รักษาราชการปลัด ศธ. และนายอัมพร พินะสา รักษาราชการเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) มารับข้อเรียกร้องต่างๆ ของนักเรียน ท่ามกลางฝนที่ยังตกลงมาอย่างหนัก แกนนำขึ้นปราศรัยโจมตีการทำงานของนายณัฏฐพล โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาล่วงละเมิด ทำร้ายร่างกาย และการข่มขืนเด็ก เป็นต้น เพราะได้ยื่นหนังสือขอให้แก้ไขปัญหาตั้งแต่วันที่ 5 ก.ย.แล้วแต่กลับนิ่งเฉย ไม่ได้รับการแก้ไข จึงมอบเค้กให้เพราะนายณัฏฐพลแก้ปัญหาเหมือนเค้กที่เละและล้มเหลว

โปรยหมื่นใบลาออกให้เซ็น

จากนั้นได้มีฝนตกลงมาหนักยิ่งขึ้น ทำให้ผู้บริหาร ศธ.แนะนำให้กลุ่มนักเรียนเข้าไปหลบฝนหน้าอาคารราชวัลลภ ภายในกระทรวง นำรถเครื่องขยายเสียงเข้ามาจอดหน้าอาคารด้วย ก่อนพากันลุกขึ้นยืนชู 3 นิ้วเพื่อเคารพเพลงชาติในเวลา 18.00 น. จากนั้นตัวแทนนักเรียนได้นำใบลาออกจากการเป็น รมว.ศธ.ที่จัดเตรียมไว้ 10,000 แผ่น โปรยมอบให้ผู้บริหาร ศธ.ที่อยู่ข้างรถแห่ เพื่อส่งต่อให้นายณัฏฐพลลงนามลาออก โดยแกนนำประกาศว่า หาก รมว.ศธ.ยังมีความเป็นมนุษย์อยู่ ขอให้ลาออกไป พร้อมกับตะโกนพร้อมๆผู้ชุมนุมว่า ลาออกๆ เป็นระยะๆ และแกนนำยังตะโกนอีกว่า “หนังสือลาออก 10,000 ฉบับนี้จะมีสักฉบับที่ถึงมือนายณัฏฐพล” ก่อนแยกย้ายกันเดินทางกลับ

มท.โยกย้ายรอง ผวจ. 25 ราย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทยได้ลงนามแต่งตั้ง (ย้าย) ข้าราชการตำแหน่งประเภทบริหาร ระดับต้น สายงานบริหารงานปกครอง (รองผู้ว่าราชการจังหวัด) จำนวน 25 ราย ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 9 ต.ค.2563 เป็นต้นไป กำหนดให้ไปรายงานตัวเพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งกระทรวงมหาดไทยในวันที่ 9 ต.ค.63 ดังนี้ 1.นายชำนาญ ชื่นตา รอง ผวจ.ร้อยเอ็ด เป็นรอง ผวจ.กาญจนบุรี 2.นายเธียรชัย พุทธรังษี รอง ผวจ.อุบลราชธานี เป็นรอง ผวจ.ร้อยเอ็ด 3.ร.ต.พงศธร ศิริสาคร รองผวจ.นครปฐม เป็นรอง ผวจ.กาญจนบุรี 4.นายธนิศร์ วงศ์ปิยะสถิตย์ รอง ผวจ.อุทัยธานี เป็นรอง ผวจ.นครปฐม 5.นายจารึก เหล่าประเสริฐ รอง ผวจ.กาฬสินธุ์ เป็นรอง ผวจ.ขอนแก่น 6.นายเลิศบุศย์ กองทอง รอง ผวจ.ร้อยเอ็ด เป็นรอง ผวจ.กาฬสินธุ์ 7.นายชนาส ชัชวาลวงศ์ รอง ผวจ.เลย เป็นรอง ผวจ.ร้อยเอ็ด 8.นายผดุงศักดิ์ หาญปรีชาสวัสดิ์ รอง ผวจ.ลพบุรี เป็นรอง ผวจ.เลย 9.นายสำเริง ไชยเสน รอง ผวจ.ลำพูน เป็นรอง ผวจ.เชียงใหม่ 10.นายชัชวาลย์ ฉายะบุตร รอง ผวจ.นครสวรรค์ เป็น รอง ผวจ.ลำพูน 11. นายสุวิทย์ จันทร์หวร รอง ผวจ. มุกดาหาร เป็นรอง ผวจ.นครพนม 12.นายเชวงศักดิ์ พลเยี่ยม รอง ผวจ.นครสวรรค์ เป็นรอง ผวจ.มุกดาหาร

โยกรอง ผวจ.สกลนครไป จ.สุราษฎร์

13.นายกรกต ธำรงวงศ์สวัสดิ์ รอง ผวจ.บึงกาฬ เป็นรอง ผวจ.นครราชสีมา 14.นายบัญชา เชาวนินทร์ รอง ผวจ.นครนายก เป็นรอง ผวจ.ปราจีนบุรี 15.นายสมเกียรติ พูลสุขเสริม รอง ผวจ.อุตรดิตถ์ เป็นรอง ผวจ.พิษณุโลก 16.นายณรงค์ศักดิ์ หอมมาลัย รอง ผวจ.สุโขทัย เป็นรอง ผวจ.เพชรบูรณ์ 17. นางพาตีเมาะ สะดียามู รอง ผวจ.นราธิวาส เป็นรอง ผวจ.ยะลา 18.นายวงศกร นัยชูคันธ์ รอง ผวจ. ภูเก็ต เป็นรอง ผวจ.สงขลา 19.นายศุภมิตร ชิณศรี รอง ผวจ.ตราด เป็นรอง ผวจ.สมุทรปราการ 20.นายสาโรช กาญจนพงศ์ รอง ผวจ.สกลนคร เป็นรองผวจ.สุราษฎร์ธานี 21.นายสุชน ภัยธิราช รอง ผวจ. หนองคาย เป็นรอง ผวจ.อ่างทอง 22.น.ส.สิริมาวัฒโน รอง ผวจ.ยโสธร เป็นรอง ผวจ.หนองคาย 23.นายโชตินรินทร์ เกิดสม รอง ผวจ.พังงา เป็นรอง ผวจ.ระนอง 24.นายสุพจน์ ยศสิงห์คำ รอง ผวจ.นครปฐม เป็นรอง ผวจ.สมุทรสงคราม และ 25.นายอภินันท์ เผือกผ่อง รอง ผวจ.นครราชสีมา เป็นรอง ผวจ.นครปฐม