อธิบดีกรมศิลปากร เข้าแจ้งความเอาผิดกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์ฯ ปักหมุดคณะราษฎร โดยไม่รับอนุญาต ผิด พ.ร.บ.โบราณสถานฯ ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 3 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
วันที่ 21 ก.ย.63 นายประทีป เพ็งตะโก อธิบดีกรมศิลปากร กล่าวว่า การเข้าแจ้งความกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุมดังกล่าว ถือเป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามความรับผิดชอบในฐานะผู้ทำหน้าที่ดูแลพื้นที่โบราณสถานที่ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกของชาติ ตามประกาศ พ.ร.บ.โบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พ.ศ.2504
เนื่องจากมีกลุ่มผู้เข้าไปขุดเจาะลานคอนกรีตในพื้นที่สนามหลวง พร้อมนำหมุดคณะราษฎร 2563 ไปฝังไว้โดยไม่รับอนุญาต เป็นกฎหมายอาญา ซึ่งมีความผิดตามมาตรา 10 ห้ามมิให้ผู้ใดซ่อมแซม แก้ไข เปลี่ยนแปลง รื้อถอน ต่อเติม ทำลาย เคลื่อนย้ายโบราณสถานหรือส่วนต่างๆ ของโบราณสถาน หรือขุดค้นสิ่งใดๆ หรือปลูกสร้างอาคาร ภายในบริเวณโบราณสถาน เว้นแต่จะกระทำตามคำสั่งของอธิบดีหรือได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากอธิบดี และถ้าหนังสืออนุญาตนั้นกำหนดเงื่อนไขไว้ประการใดก็ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขนั้นด้วย
โดยมีบทลงโทษตามมาตรา 35 ผู้ใดฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่อธิบดีกำหนดไว้ในหนังสืออนุญาตตามมาตรา 10 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 3 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
นายประทีป กล่าวว่า ส่วนประเด็นการบุกรุกพื้นที่สนามหลวง น่าจะเป็นประเด็นที่อยู่ในความดูแลของกรุงเทพมหานคร (กทม.) แต่ได้มีการประสานงานกันในฐานะหน่วยงานเจ้าของพื้นที่ที่ทำหน้าที่ดูแลบริหารจัดการพื้นที่สนามหลวงซึ่งมีประกาศ และระเบียบการใช้พื้นที่สนามหลวงที่ระบุไว้ชัดเจน ว่าสามารถใช้พื้นที่เพื่อการใดบ้าง ซึ่งที่ผ่านมาก็ยังไม่เคยมีกรณีบุคคลใดเข้าไปทำการในลักษณะดังกล่าวโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งหากจะมีการทำกิจกรรม หรือจัดงานใดๆ จะต้องมีการขออนุญาตใช้สถานที่เข้ามาก่อน
...
แต่การเข้ามาของกลุ่มผู้ชุมนุมไม่ได้มีการขออนุญาต เป็นเพียงทราบข่าวจากการประกาศผ่านสื่อต่างๆ ว่ากลุ่มผู้ชุมนุมจะเข้ามายังในพื้นที่สนามหลวง จึงถือเป็นการรับทราบแบบอย่างไม่เป็นทางการ
หลังจากนี้จะถือเป็นขั้นตอนของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่จะต้องมีการสืบสวนคดีต่อไป ในส่วนของกรมศิลปากรได้แจ้งความในกรณีการกระทำใดๆ ในพื้นที่สนามหลวงเท่านั้น ยกเว้นกรณีที่เมื่อทางตำรวจขอความเห็นเพิ่มเติมที่เกี่ยวข้องกับกรมศิลปากร แต่ก็จะทำงานร่วมกันกับ กทม.และตำรวจ ซึ่งในภาพรวมเรายังไม่ได้ชี้ว่าใครเข้าไปทำอะไรอย่างไรได้ชัดเจน จึงขอให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่จะเข้าไปดูว่าผู้ที่กระทำการละเมิดที่ว่านั้นมีใครบ้าง ให้เป็นเรื่องของการสืบสวนสอบสวน.