‘พิธา’ หัวหน้าพรรคก้าวไกล อัด ‘ประยุทธ์’ ไร้ภาวะผู้นำ ทำการเมืองบิดเบี้ยว พาประเทศไปสู่ยุคสุดมืดมน จี้ แก้ปัญหาด้วยการลงจากอำนาจ คืนอนาคตให้กับประชาชน
วันที่ 9 ก.ย.2563 ที่อาคารรัฐสภา นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล อภิปรายทั่วไปแบบไม่มีการลงมติ ตามมาตรา 152 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยปี พ.ศ. 2560 โดยระบุว่า แม้ประเทศไทยจะเคยผ่านวิกฤติมาหลายครั้ง แต่ก็ไม่มีครั้งไหนที่หนักหนาเท่าครั้งนี้ที่อยู่ท่ามกลางวิกฤติรอบด้าน ทั้ง เศรษฐกิจ สังคม และการเมือง โดยมีปัจจัยสำคัญที่ถ่วงรั้งไม่ให้ประเทศขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้ คือ ‘วิกฤติภาวะผู้นำ’ ของ ‘รัฐนาวาที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาว’ และความสิ้นหวังที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือ ด้านเศรษฐกิจที่ถูกสะท้อนออกมา
“ตัวเลขหลายตัว เมื่อนำมาวิเคราะห์แล้ว เศรษฐกิจไทยบ๊วยที่สุดในอาเซียนและบ๊วยเกือบที่สุดของเอเชีย จากการสำรวจของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF ขณะเดียวกัน ค่าเงินบาทกลับแข็งตัวเป็นอันดับต้นๆ ของเอเชียจากข้อมูลของสำนักข่าว Bloomberg ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อค่าเงินบาทแข็งตัวในเวลานี้จะยิ่งเป็นการซ้ำเติมผู้ส่งออกในวิกฤติโควิดเข้าไปอีก เพราะประเทศไทยพึ่งพาการส่งออก การท่องเที่ยว และพึ่งพาเศรษฐกิจต่างประเทศ สูงถึง 70% ของ GDP ซึ่งส่งผลให้ตัวเลขคนว่างงานตอนนี้เพิ่มขึ้นอีก 5 เท่า เมื่อเทียบกับช่วงที่อภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งล่าสุดเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา”
นายพิธา ยังกล่าวถึงข้อกังวลอีกว่า ในไตรมาสหน้าจะเป็นคลื่นลูกที่สามที่ถล่มระบบการเงินไทย เนื่องจากหนี้สินที่ขอปรับโครงสร้างหนี้มูลค่ามากกว่า 7.2 ล้านล้านบาท กำลังจะหมดอายุลง และมีโอกาสเป็นหนี้เสียที่อาจจะมากกว่าศักยภาพที่สถาบันการเงินไทยจะรับไหว การหารายได้ของรัฐบาลจากการเก็บภาษียังหลุดเป้าไปถึง 4 แสนล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลัง ได้ชี้แจง นอกจากนี้ จากการที่รัฐบาลได้มาขอรัฐสภาให้พิจารณาวงเงินงบประมาณสำหรับฟื้นฟูเศรษฐกิจ จำนวน 4 แสนล้านบาท ได้มีการอนุมัติไปแล้ว 40,000 ล้านบาท แต่ในการเบิกจ่ายเงินงบประมาณกลับทำได้จริงเพียง 400 ล้านบาท หรือคิดเป็น 0.1% จากที่มาขอจากสภาเท่านั้น สำหรับอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ที่หายไปเกือบ 100% โครงการเที่ยวปันสุขที่หวังจะมาช่วยภาคการท่องเที่ยวให้สามารถดำเนินต่อไปได้ มีผู้ใช้สิทธิเพียง 17% ของสิทธิทั้งหมด โดยที่โรงแรมขนาดกลาง ขนาดเล็กหลายแห่งไม่สามารถเข้าร่วมได้ จึงไม่แปลกใจที่ชาวภูเก็ตได้บอกว่า “ป่าตองกลายเป็นป่าช้า” เรียบร้อยไปแล้ว
“ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นภาวะสุญญากาศของการบริหารเศรษฐกิจไทย กัปตันใส่เกียร์ว่าง ไม่รู้ร้อนรู้หนาว ในยามที่พายุโหมกระหน่ำ ดูเหมือนรัฐบาล นอกจะใจเย็นแล้ว ต้องถามว่าเลือดเย็นเกินไปไหมกับความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนในตอนนี้”
นายพิธา ยังกล่าวต่ออีกว่า นอกเหนือจากปัญหาภาวะผู้นำของนายกรัฐมนตรีแล้ว ระบบการเมืองที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อรักษาอำนาจยังทำให้เกิดภาวะที่ไม่สามารถบริหารบ้านเมืองได้ ต้องคอยป้อนกล้วยเลี้ยงงู ซึ่งเป็นปัญหาอันเนื่องมาจากรัฐธรรมนูญ 2560 ที่ถูกเขียนขึ้นเพื่อทำหน้าที่เฉพาะกิจคือ สืบทอดอำนาจให้ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีและเพื่อรักษาอำนาจของเครือข่ายให้ยาวนานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่รัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ได้ถูกเขียนขึ้นเพื่อแก้ปัญหาสังคมไทยและรับมือกับโลกอนาคต
...
“ความน่าเศร้าของประชาชนคนไทยตอนนี้ก็คือ ในชั่วโมงที่ประเทศของเรามืดมนที่สุด เรากลับมีนายรัฐมนตรีที่ไม่มีภาวะผู้นำและอยู่ในระบบการเมืองที่บิดเบี้ยวที่สุด เมื่อสองสิ่งนี่มาอยู่ในช่วงเวลาเดียวกัน ไม่ต้องหลับตาก็นึกภาพออกว่ามันพังพินาศขนาดไหน ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกสมัยแรก ผมคงวิจารณ์ท่านอีกอย่าง คือเข้ามารับตำแหน่งปีแรก ยังไม่ทันไรก็โดนพิษโควิดเต็มๆ อันนี้ต้องเข้าใจกัน แต่ท่านยึดอำนาจและบริหารประเทศมาก่อนแล้ว 5 ปีเต็ม เป็นนายกฯที่ได้รับอภิสิทธิ์ในการบริหารประเทศมากกว่าผู้นำคนไหนในโลกประชาธิปไตยถึง 2 เรื่อง นั้นคือ 5 ปีเต็มที่ไม่มีฝ่ายค้าน ไม่มีแรงต้าน ไม่มีการตรวจสอบ และเป็น 5 ปีที่ท่านได้งบประมาณไปแล้วเกือบ 20 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นงบประมาณที่สูงที่สุดกว่านายกรัฐมนตรีคนไหนในประวัติศาสตร์ชาติไทยเคยได้รับ แต่ผลงานที่กลับมาก็คือ เศรษฐกิจที่รั้งบ๊วยของเอเชีย”
นายพิธา ชี้ว่า หากผู้นำมีวิสัยทัศน์จะสามารถวางรากฐานของประเทศเพื่อให้สามารถต่อสู้กับความท้าทายในศตวรรษที่ 21 ได้ จะสามารถปรับเค้าโครงเศรษฐกิจ สร้างเศรษฐกิจฐานรากให้ประเทศเข้มแข็งจากภายใน มีการกระจายความเสี่ยงจากการพึ่งพาการส่งออกหรือการท่องเที่ยว จะสามารถทลายทุนผูกขาด สร้างอุตสาหกรรมใหม่ๆ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับประเทศได้ แต่ท่ามกลางโอกาสเหล่านั้น พล.อ.ประยุทธ์ กลับไม่ได้ทำตลอด 6 ปีที่ผ่านมา และนอกจากแก้ปัญหาให้กับประเทศและประชาชนไม่ได้แล้ว พล.อ.ประยุทธ์ ยังไม่รับฟังกระทั่งยังได้คุกคามเสรีภาพของผู้ออกมาทวงคืนอนาคต มีการใช้กฎหมายอาญา มาตรา 116 อย่างไม่สมเหตุสมผล ซึ่งการใช้กฎหมายเช่นนี้ไม่อาจแก้ปัญหาอะไรได้ แต่กลับจะยิ่งขยายความขัดแย้งไปในวงกว้างมากขึ้น
“จนถึงวันนี้ชัดเจนว่าคนไทยอาจจะได้นายกรัฐมนตรีที่แย่ที่สุดเท่าที่ประเทศไทยเคยมีมา ถึงวันนี้ชัดเจนแล้วว่าความวุ่นวาย ความสิ้นหวัง ความล้าหลังในประเทศไทยทุกวันนี้ ใจกลางของความล้มเหลวอยู่ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในเมื่อแก้ปัญหาบ้านเมืองไม่ได้ก็ควรหลีกทาง ลงจากอำนาจ คืนอนาคตให้กับประชาชน ก่อนที่ประเทศชาติของเราจะย่อยยับเกินกว่าที่พวกท่านจะชดใช้คืนได้” นายพิธา กล่าว...