ลูกสาวฝาแฝด “พล.อ.ประยุทธ์” มอบทนายดำเนินคดีบุคคลและกลุ่มบุคคลเผยแพร่ข้อความเท็จ ทำเสียชื่อเสียง ลั่น เอาเรื่องถึงที่สุด ไม่มีการยอมความ หวังให้เป็นกรณีตัวอย่าง พร้อมแจง 10 ข้อกล่าวหา
วันที่ 2 ก.ย. 2563 น.ส.ธัญญา จันทร์โอชา และ น.ส.นิฏฐา จันทร์โอชา บุตรสาวของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มอบอำนาจให้ นายอภิวัฒน์ ขันทอง กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะทนายความประจำสำนักกฎหมาย อ.อัมพร ณ ตะกั่วทุ่ง และเพื่อน เข้าแจ้งความที่ สน.นางเลิ้ง เพื่อดำเนินคดีกับบุคคลและกลุ่มบุคคลที่เผยแพร่ข้อความอันเป็นเท็จ ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น และถูกเกลียดชัง พร้อมเอกสารชี้แจง 10 ข้อกล่าวหา โดยมี พล.ต.ต.สำเริง สวนทอง ผบก.น.1 ร่วมสอบปากคำ
ทั้งนี้ ในเอกสารระบุว่าบุตรสาวทั้ง 2 คนของ พล.อ.ประยุทธ์ ประสงค์ดําเนินการทางกฎหมายกับบุคคล คณะบุคคล นิติบุคคล หรือสื่อใดๆ ที่เผยแพร่ข้อมูลเท็จ, ด่าทอให้ร้าย, กล่าวหา, คุกคาม, หมิ่นประมาท เช่น การกล่าวหาว่าเปลี่ยนนามสกุล, อาศัยอย่างสุขสบายอยู่ในคฤหาสน์ต่างประเทศ, เป็นเส้นทางฟอกเงินของบิดาและอื่นๆ โดยปราศจากหลักฐานและไม่มีมูลความจริง ก่อให้เกิดความเสียหาย ถือเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล หมิ่น ประมาทอย่างร้ายแรง พร้อมยืนยันว่าไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับการงานของบิดา ไม่เคยแสดงความคิดเห็นใดๆ ทางการเมือง วันนี้จําเป็นต้องปกป้องเกียรติยศ ศักดิ์ศรี สิทธิของตนเองและวงศ์ตระกูล และขอเรียนชี้แจงในประเด็นข้อกล่าวหาต่างๆ ซึ่งเป็นความเท็จทั้งสิ้น ดังนี้
ข้อ 1 กล่าวหาว่ามีการเปลี่ยนมาใช้นามสกุลมารดา เพื่อทําเรื่องผิดกฎหมายต่างๆ เช่น ฟอกเงิน ขอวีซ่าเพื่อหนีไปอยู่ต่างประเทศ ฯลฯ
ข้อเท็จจริง คือ ไม่เคยมีการเปลี่ยนชื่อ-นามสกุลใดๆ ยังคงใช้ชื่อ ธัญญา จันทร์โอชา และ นิฏฐา จันทร์โอชา ตั้งแต่กําเนิดจนถึงปัจจุบัน
...
ข้อ 2 กล่าวหาว่าไม่ได้อยู่ประเทศไทย
ข้อเท็จจริง อยู่ประเทศไทยมาโดยตลอด ใช้ชีวิตปกติอย่างประชาชนคนไทยทั่วไป
ข้อ 3 กล่าวหาว่าเรียนอยู่ประเทศออสเตรเลีย
ข้อเท็จจริง ไม่เคยเรียนที่ประเทศออสเตรเลีย เคยเดินทางไปท่องเที่ยวเพียงครั้งเดียวเมื่อวัยเด็ก
ข้อ 4 กล่าวหาว่าเรียนอยู่ต่างประเทศ
ข้อเท็จจริง ข้าพเจ้าทั้งสองเรียนจบชั้นประถมและมัธยม จากโรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเรียนจบปริญญาตรี จากคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เท่านั้น
ข้อ 5 กล่าวหาว่าสอบตกปริญญาโท อธิการบดีถูกกดดันให้รับเข้าเรียน
ข้อเท็จจริง ไม่ได้เรียนปริญญาโท และไม่เคยสอบตก เรียนจบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายด้วยเกรดเฉลี่ย 4.00 และ 3.96 และเรียนจบปริญญาตรี คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ ได้รับเกียรตินิยมอันดับ 2 ทั้งคู่
ข้อ 6 กล่าวหาว่าปัจจุบันใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย อาศัยอยู่ในคฤหาสน์ที่ประเทศอังกฤษ โดยมีเจ้าสัวซื้อให้
ข้อเท็จจริง ข้าพเจ้าทั้งสองใช้ชีวิตตามปกติในประเทศไทย ไม่เคยพํานักอาศัยในประเทศอังกฤษหรือประเทศอื่นใดเป็นระยะเวลานาน ไม่เคยพักอาศัยอยู่ในคฤหาสน์ใดๆ ข้าพเจ้าทั้งสองได้เดินทางไปเที่ยวประเทศอังกฤษครั้งล่าสุดในปี 2558 ด้วยวีซ่าท่องเที่ยว โดยเข้าพักโรงแรมตามปกติ ในการนี้ข้าพเจ้าทั้งสองได้มอบหลักฐานการเดินทางเข้าออกประเทศไทยให้กับพนักงานสอบสวนเรียบร้อยแล้ว
ข้อ 7 กล่าวหาว่ามีการซุกเงิน ฟอกเงิน โดยบิดาโอนเงินเข้าบัญชีลูกที่ต่างประเทศ
ข้อเท็จจริง ข้าพเจ้าทั้งสองไม่มีบัญชีธนาคารที่ต่างประเทศ มีเพียงบัญชีธนาคารในประเทศไทยเท่านั้น
ข้อ 8 กล่าวหาว่าบิดาโอนเงินเข้าบัญชีลูกทั้งสองคนเพื่อฟอกเงิน
ข้อเท็จจริง บิดาโอนเงินให้ตั้งแต่ปี 2556 ซึ่งไม่ใช่เรื่องใหม่ หรือความลับใดๆ บิดาเป็นผู้ชี้แจงเองและแจกแจงที่มาที่ไปของเงินอย่างชัดเจนในการยื่นบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช. อย่างเปิดเผย ตั้งแต่เมื่อครั้งรับตําแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อปี 2557 และยังปรากฏเป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์และสื่อทั่วไปหลายครั้ง โดยเงินส่วนนี้มีที่มาจากการขายที่ดินของ พ.อ.ประพัฒน์ จันทร์โอชา (ปู่) และมีการแบ่งทรัพย์สินภายในครอบครัว ซึ่งที่ดินผืนนี้เป็นมรดกตกทอดของครอบครัวมามากกว่า 50 ปี
ข้อ 9 กล่าวหาว่าทําไมไม่เคยมีภาพหลุดออกมาในโซเชียลมีเดียใดๆ เลย แม้กระทั่งของเพื่อนยังไม่มีภาพ
ข้อเท็จจริง ข้าพเจ้าทั้งสองไม่มีบัญชีส่วนตัวในโซเชียลมีเดียใดๆ และกลุ่มเพื่อนที่ติดต่อกันก็เข้าใจในสิทธิความเป็นส่วนตัวจึงไม่เคยแชร์ภาพใดๆ และไม่ต้องการให้มีบุคคลใดนําภาพไปแอบอ้างใช้หาประโยชน์
ข้อ 10 กล่าวหาว่าไม่เปิดเผยตัวเหมือนลูกนักการเมือง หรือลูกนายกฯ คนอื่นๆ
ข้อเท็จจริง ข้าพเจ้าทั้งสองใช้ชีวิตปกติเหมือนประชาชนคนไทยทั่วไป ไม่ได้ต้องการเป็นที่รู้จักหรือเปิดเผยตัวว่าเป็นลูกใคร เพราะไม่ต้องการได้รับอภิสิทธิ์หรือเพื่อรับผลประโยชน์ใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับตําแหน่งของบิดา หากมีใครแอบอ้างว่ารู้จัก สามารถช่วยเหลือเพื่อรับผลประโยชน์ต่างๆ ได้ เป็นเรื่องเท็จทั้งหมด
พร้อมกันนี้ ในช่วงท้ายของเอกสารฉบับดังกล่าว ระบุด้วยว่า น.ส.ธัญญา และ น.ส.นิฏฐา ต้องการใช้สิทธิทางกฎหมายโดยการฟ้องดำเนินคดีอย่างถึงที่สุดกับผู้ที่เผยแพร่ข้อมูลเท็จ, ด่าทอให้ ร้าย, กล่าวหา, คุกคาม, หมิ่นประมาท ทั้งหมด ทั้งผู้ที่โพสต์และแชร์ ในทุกช่องทางโซเชียลมีเดีย รวมถึงสื่อ หรือพื้นที่สาธารณะอื่นๆ โดยไม่มีการยอมความใดๆ ทั้งสิ้น และประสงค์ให้เป็นกรณีตัวอย่างและบรรทัดฐานของการใช้โซเชียลมีเดียในประเทศไทยว่า ผู้ใดก็ตามไม่มีสิทธิเผยแพร่ข้อมูลเท็จ, ด่าทอให้ร้าย, กล่าวหา, คุกคาม, หมิ่นประมาทผู้อื่นโดยปราศจากหลักฐาน และในขณะเดียวกันก็ไม่ควรมีผู้ใดตกเป็นเครื่องมือทางการเมืองจากการหลงเชื่อข้อมูลโดยขาดการไตร่ตรอง คิด วิเคราะห์ แยกแยะ เพียงเพราะความอคติและความเกลียดชังอีกต่อไป
นายอภิวัฒน์ กล่าวว่า ได้รับมอบอำนาจจากบุตรสาวทั้ง 2 คนของ พล.อ.ประยุทธ์ ให้มาแจ้งความดำเนินคดีกับบุคคล นิติบุคคล และสื่อออนไลน์ต่างๆ โดยเฉพาะทวิตเตอร์ รวมกว่าหลักร้อยบัญชี ที่ลงข้อมูลเท็จให้ร้ายเสียหาย ซึ่งมีคนหลงเชื่อ ไม่ไตร่ตรองนำไปแชร์ต่อ และแสดงความเห็นอย่างเสียหาย ถือเป็นการหมิ่นประมาทบุคคลที่สาม เข้าข่ายความผิดตามกฎหมายอาญา และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ จึงต้องการให้ตำรวจตรวจสอบว่ามีใครที่ทำผิดบ้าง ส่วนกรณีมีนักการเมืองไปนำข้อมูลมาโพสต์แชร์ต่อด้วยนั้น ขึ้นอยู่กับพนักงานสอบสวนจะพิจารณาว่าเป็นตัวการร่วมหรือผู้สนับสนุนหรือไม่ ซึ่งลูกความยืนยันจะดำเนินคดีถึงที่สุด ไม่มีการยอมความ เพื่อเป็นบรรทัดฐานไม่ให้เกิดขึ้นอีก และกรณีนี้ นายกรัฐมนตรี ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ไม่ได้สั่งหรือกำชับอะไร ตนมาในนามส่วนตัวเพราะลูกความถูกใส่ร้ายเสียหาย แม้ว่าก่อนหน้านี้จะเคยมีการกล่าวหามาโดยตลอด ลูกความพยายามอดกลั้นไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ล่าสุด เป็นเรื่องร้ายแรงหาว่าทุจริตโกงเงินประเทศหลักหมื่นล้าน ซึ่งไม่มีมูลความจริง เป็นการให้ร้ายเสื่อมเสียกับวงศ์ตระกูล ทางด้าน
พล.ต.ต.สำเริง ระบุว่า ขณะนี้ยังระบุไม่ได้ว่าจะต้องดำเนินคดีกับผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์หลักร้อยคนหรือไม่ ขึ้นอยู่กับพยานหลักฐานว่ามีผู้ใดกระทำผิดบ้าง จากนี้อาจต้องตั้งคณะทำงานในระดับกองบังคับการ โดยอาจพิจารณาการทำงานกับหน่วยงานร่วม เพราะเป็นคดีที่น่าสนใจในหมู่ประชาชน และเพื่อสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐานอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ยืนยันว่าไม่มีความกดดัน ยอมรับว่าก็เพิ่งทราบชื่อลูกสาวของ พล.อ.ประยุทธ์ เพราะเจ้าตัวไม่ค่อยออกสื่อ.