ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นประธานในพิธีส่งทหารไทย 273 นาย ไปปฏิบัติภารกิจรักษาสันติภาพในซูดาน ผลัดเปลี่ยนกำลังกับชุดก่อนหน้า เน้นย้ำมาตรการทางสาธารณสุขเข้มข้น เตรียมเดินทางจากไทย 21 ก.ย. นี้

วันที่ 2 ก.ย. 2563 พล.อ.พรพิพัฒน์ เบญญศรี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นประธานในพิธีส่งกำลังของกองทัพไทยที่จะเดินทางไปปฏิบัติภารกิจรักษาสันติภาพของสหประชาชาติ (UN) ในสาธารณรัฐเซาท์ซูดาน ผลัดที่ 2 ณ กรมการทหารช่าง จ.ราชบุรี ซึ่งการส่งกำลังพลในครั้งนี้ เพื่อเป็นการผลัดเปลี่ยนกำลังกองร้อยทหารช่างเฉพาะกิจไทย/เซาท์ซูดาน ระหว่างผลัดที่ 1 ซึ่งปฏิบัติภารกิจในสาธารณรัฐเซาท์ซูดานตั้งแต่เดือน ธ.ค. 2561 จนถึงปัจจุบัน กับกองร้อยทหารช่างเฉพาะกิจไทย/เซาท์ซูดาน ผลัดที่ 2 เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ในภารกิจรักษาสันติภาพของสหประชาชาติในสาธารณรัฐเซาท์ซูดานอันเป็นไปตามพันธกรณีที่มีต่อ UN

ทั้งนี้ กำลังพลกองร้อยทหารช่าง ผลัดที่ 2 จำนวน 273 นาย มีกำหนดเดินทางออกจากประเทศไทยไปปฏิบัติภารกิจ ณ สาธารณรัฐเซาท์ซูดานในวันที่ 21 ก.ย. 2563 และกำลังพลทุกนายจะได้รับการปฏิบัติตามมาตรการด้านสาธารณสุขที่เข้มข้นก่อนเดินทางออกจากประเทศไทย จะต้องเข้ารับการคัดกรองและกักกันเพื่อสังเกตอาการตามมาตรการด้านสาธารณสุข ณ โรงแรมนนทบุรีพาเลซ จ.นนทบุรี จำนวน 14 วัน มีการตรวจยืนยันทางห้องปฏิบัติการ และออกหนังสือรับรองให้กับกำลังพลที่มีผลการตรวจระบุว่าปลอดการติดเชื้อ หลังจากนั้นจะออกเดินทางโดยอากาศยานเช่าเหมาลำของสหประชาชาติ ณ สนามบินดอนเมือง รวมถึงมีการเตรียมพื้นที่ปิดเป็นสัดส่วนเฉพาะเพื่อพักคอยและดำเนินกรรมวิธีตามขั้นตอนการออกนอกราชอาณาจักรในห้วงการเดินทางบนอากาศยานซึ่งเป็นไปตามมาตรการของ ICEO เมื่อเดินทางถึงสาธารณรัฐเซาท์ซูดาน จะได้รับการคัดกรองตามมาตรการของเซาท์ซูดาน และเข้ารับการกักตัว 14 วัน ณ สถานกักกันของสหประชาชาติ เพื่อดำเนินกรรมวิธีตามขั้นตอนของสหประชาชาติต่อไป

...

อย่างไรก็ตาม ในห้วงที่ผ่านมา กองกำลังของไทย ได้รับการยอมรับจากสหประชาชาติและองค์การต่างๆ ในความเป็นมืออาชีพ โดยเฉพาะคุณสมบัติพิเศษที่ไม่สามารถหาได้จากชาติใดๆ ได้แก่ การสนับสนุนด้านการพัฒนาเพื่อความมั่นคงอย่างยั่งยืน ควบคู่ไปกับการปฏิบัติภารกิจทางยุทธวิธี กองกำลังของไทยจึงได้รับการพิจารณาจากสหประชาชาติตามพันธกรณีให้เข้าร่วมภารกิจรักษาสันติภาพมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็นบทบาท เกียรติภูมิ และความภาคภูมิใจของประเทศไทยในเวทีโลก รวมทั้งยังเป็นการเสริมสร้างความรู้และประสบการณ์ให้กับกองทัพไทยเพื่อพัฒนาศักยภาพของกำลังพลและยุทโธปกรณ์ไปสู่ความเป็นเลิศตามมาตรฐานสากลต่อไป.