โฆษกรัฐบาล อนุชา บูรพชัยศรี ออกมายืนยันเจตนารมณ์ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะ รมว.กลาโหม ในการที่จะ ชะลอซื้อเรือดำน้ำลำที่ 2-3 ออกไปโดยหารือเป็นการภายในกับ กลาโหม และ กองทัพเรือ ให้หาทางเจรจากับ ทางการจีน ในการที่จะ ชะลอการซื้อเรือดำน้ำไปอีกอย่างน้อย 1 ปี มีความเป็น ไปได้แค่ไหนและให้ กองทัพเรือ นำเรื่องนี้ไปหารือใน คณะกรรมาธิการ พิจารณางบประมาณรายจ่ายปี 2564 ในสภาด้วย เหตุผลก็เพราะว่า พล.อ.ประยุทธ์ กังวลในความห่วงใยด้านเศรษฐกิจของประชาชนในขณะนี้

นอกจากนี้ โฆษกรัฐบาล ยังย้ำชัดเจนว่า โครงการนี้เป็นข้อตกลงระหว่าง รัฐบาลกับรัฐบาล หรือ จีทูจี ที่ทำกันไว้ตั้งแต่ปี 2563 โดยของบประมาณไว้ 3,375 ล้านบาท แต่มาเกิด การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จึงได้นำเงินจำนวนดังกล่าวมาใช้ในการเยียวยาเศรษฐกิจและแก้ปัญหาของประชาชน ทำให้การซื้อเรือดำน้ำต้องเลื่อนออกไป ซึ่งถ้าจะเลื่อนอีก ก็จะเป็นการเลื่อนการซื้อเรือดำน้ำเป็นครั้งที่ 2 โดยที่ กองทัพเรือ ได้เสนอขออนุมัติงบประมาณไปเป็นจำนวน 3,375 ล้านบาท ก็เพื่อจะให้มีการดำเนินการจัดซื้อเรือดำน้ำตามข้อตกลงอย่างต่อเนื่อง

ต่างจากถ้อยแถลงของกองทัพเรือหน้ามือเป็นหลังมือ

ประเด็นที่ ฝ่ายค้าน ตั้งข้อสังเกตไว้ก็คือ การตกลงเซ็นสัญญาในการซื้อเรือดำน้ำ ถูกหรือไม่ คือเป็นลักษณะ จีทูจี จริงหรือไม่ และผ่านการอนุมัติจากสภาผู้แทนราษฎร หรือไม่

อีกประเด็นก็คือ การซื้อเรือดำน้ำ สำหรับ ประเทศไทย เหมาะสมอย่างไร โดยเฉพาะ เรือดำน้ำจากประเทศจีน จากการตั้งข้อสังเกตที่ว่า ประเทศไทย ไม่ได้อยู่ในกลุ่มประเทศที่มีข้อพิพาทใน ทะเลจีนใต้ เช่นเดียวกับ เวียดนาม อินโดนีเซีย หรือฟิลิปปินส์ ซึ่งประเทศที่มีเรือดำน้ำใน กลุ่มประเทศอาเซียน ด้วยกัน ไม่มีประเทศไหน ที่ใช้ เรือดำน้ำจากประเทศจีน เลย ส่วนใหญ่จะเป็น สวีเดน เยอรมนี เพราะ ถ้าใช้เรือดำน้ำจาก ประเทศจีน ให้จีนเป็นคนผลิตก็คงจะรู้ไส้รู้พุงรู้จุดอ่อนกันหมด และที่สำคัญ กองเรือ ของ กองทัพเรือไทย เป็นกองเรือที่ใหญ่ที่สุดมีเรือบรรทุกเครื่องบินขนาดใหญ่ ใหญ่กว่าประเทศที่มีเกาะมากมายที่ต้องดูแลอย่าง อินโดนีเซีย หรือฟิลิปปินส์ เสียอีก

...

นอกจากนี้ยังมีการตั้งข้อสังเกตว่า อาวุธยุทโธปกรณ์ในปัจจุบันได้มีการพัฒนาไปมาก มีความทันสมัยและ เซฟกำลังพล ให้มีการสูญเสียน้อยที่สุดคือใช้ อาวุธที่ทันสมัย โดยเฉพาะ โดรน ที่ใช้บังคับในระยะไกล สามารถที่จะทำลายเรือดำน้ำราคาลำละเป็นพันล้านได้อย่างสบายๆด้วย โดรนราคา 300 กว่าล้านบาท ซึ่งขณะนี้เป็นที่นิยมในกองทัพของประเทศมหาอำนาจ ที่ใช้ โดรนในการลาดตระเวนและจู่โจมทำลาย ยังไม่รวม อาวุธนิวเคลียร์ ที่กดปุ่มยิง จากที่ไหนก็ได้ ระยะทางไกลเป็นพันกิโลเมตร หรืออาวุธ เคมีชีวภาพ ที่น่ากลัวที่สุด แค่ โควิด-19 ยังทำเอาทั่วโลกปั่นป่วนวุ่นวายมาจนถึงวันนี้

ข้อสรุปเรื่องเรือดำน้ำของกองทัพเรือ คือกองทัพเรือต้องซื้อแน่นอน จะเป็นปีหน้าหรือปีไหนก็ต้องซื้อภายในรัฐบาลชุดนี้ ที่ผ่านมาหลายรัฐบาลชงซื้อเรือดำน้ำของกองทัพเรือทุกรัฐบาล แต่มีเหตุทำให้จัดซื้อไม่สำเร็จ หรือก่อนหน้าที่ซื้อได้สำเร็จก็ใช้งานไม่ได้ สมัยนี้จะสำเร็จหรือไม่ หรือเจออาถรรพณ์เรือดำน้ำจอดไม่ต้องแจว.

หมัดเหล็ก
mudlek@thairath.co.th