กองทัพเรือ แจงละเอียดยิบปมซื้อเรือดำน้ำ ชี้ มีความจำเป็นต่อความมั่นคงประเทศ ซัดนักการเมืองสร้างความเกลียดชัง เห็นแก่ตัว หวังผลการเมือง
เมื่อเวลา 14.05 น. วันที่ 24 ส.ค. 2563 พล.ร.ท.ประชาชาติ ศิริสวัสดิ์ รองเสนาธิการทหารเรือ ในฐานะโฆษกกองทัพเรือ นำแถลงข่าวกรณีการจัดซื้อเรือดำน้ำ 2 ลำ มูลค่า 22,500 ล้านบาท ว่า ประเด็นบิดเบือนจากความเป็นจริง นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย พูดสร้างความเสียหาย เป็นการนำไปสู่การสร้างความแตกแยก เกลียดชังกองทัพ เป็นสิ่งไม่สมควร ไม่เหมาะสม และรู้สึกประหลาดใจเรื่องที่ระบุว่าเป็นสัญญาจีทูจีเก๊ ยืนยันว่ากองทัพเรือทำอย่างถูกต้อง โปร่งใส แต่ข้อมูลที่ชี้แจงไปก่อนหน้าไม่ครบถ้วนจนอาจทำให้สับสน
พร้อมกันนี้ ไม่อยากให้สังคมตกเป็นเหยื่อทางการเมือง อย่าก่อให้เกิดความวุ่นวาย การหยิบยกว่าใช้เงินถึง 22,500 ล้านบาท ก็ไม่ได้จัดซื้อในปี 2564 คราวเดียวทั้งก้อน คล้ายกับการสร้างความเกลียดชัง ให้ประชาชนขาดความมั่นใจในขณะที่รัฐบาลกำลังแก้สถานการณ์ประเทศ อีกทั้ง การจัดหายุทโธปกรณ์เป็นความลับราชการ กองทัพเรือ และต้องเดินหน้าตามแผนงานโครงการต่อเนื่อง เราทำตามหน้าที่ การนำเนื้อหามาโจมตี สร้างความวุ่นวาย การให้ข่าวที่เห็นแก่เรื่องทางการเมืองเป็นหลัก เป็นความเห็นแก่ตัว
...
“อย่าให้สังคมตกเป็นเครื่องมือทางการเมืองแบบเก่าๆ แบบสกปรก เอาความเท็จมาพูดทำไม นายกรัฐมนตรีทำให้ประเทศเจริญก้าวหน้า มีภาระต่างๆ มากมายอยู่แล้ว การต่อสู้ทางการเมืองระหว่างฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านจะทำให้ชาติหยุดชะงักหรือ กองทัพเรือไม่ใช่จำเลย ขอให้ทำการเมืองอย่างสร้างสรรค์ เห็นแก่ความสุขสงบของชาติเป็นหลัก กองทัพเรืออยากเห็นบ้านเมืองเจริญก้าวหน้า อย่านำกองทัพเรือไปสร้างความเกลียดชังอย่างผิดๆ เราทำตามหน้าที่ ไม่ต้องการให้เอาเรื่องเหล่านี้มาสร้างความวุ่นวายให้กับประเทศ และเมื่อพูดผิดต้องรับผิดชอบ เพราะกองทัพเรือพูดความจริงทั้งหมดแล้ว”
ต่อมา พล.ร.อ.สิทธิพร มาศเกษม เสนาธิการทหารเรือ กล่าวชี้แจงว่า นักการเมืองบางคนนำข้อมูลออกมาแถลงบางประเด็นไม่ครบถ้วน มีความเข้าใจคลาดเคลื่อน อาจหวังผลทางการเมืองเพื่อให้กระทบรัฐบาล เกี่ยวข้องความมั่นคง จึงจำเป็นต้องนำข้อเท็จจริงมาชี้แจงให้รับทราบ ซึ่งเรือดำน้ำเป็นอาวุธทางยุทธศาสตร์สำคัญของชาติ เราเล็งเห็นความสำคัญมาตลอด และเป็นการจัดหาตามแผนยุทธ์ศาสตร์ แผนป้องกันประเทศ แต่เรือดำน้ำมักถูกโยงเป็นประเด็นทางการเมือง ยืนยันว่าตามโครงการจัดหาต้องมี 3 ลำ และผ่านการอนุมัติของคณะรัฐมนตรีแล้ว จึงนำมาสู่กระบวนการจัดหาเรือดำน้ำลำแรกปี 2560 ซึ่งลำแรกนี้จะเข้าประจำการในปี 2566
ทางด้าน พล.ร.ท.เถลิงศักดิ์ ศิริสวัสดิ์ เจ้ากรมยุทธการทหารเรือ ได้เผยวีดิทัศน์ตัวเดียวกับที่ฉายในอนุกรรมาธิการครุภัณฑ์ฯ กว่า 69 ปีแล้วที่ไทยไม่มีเรือดำน้ำ แต่รอบบ้านของเรายังมีพื้นที่พิพาท เรือดำน้ำเพื่อให้เรามีกำลังเรือที่สมดุลและสมบูรณ์ กระทั่งเริ่มจัดซื้อได้ในปี 2560 และอยากฉายภาพว่าทะเลจีนใต้เป็นเส้นเลือดใหญ่ของไทย หากเกิดการปะทะ แล้วไม่มีกำลังเข้มแข้งเพียงพอ ผลประโยชน์ชาติ 24 ล้านล้านบาท จะถูกกระทบแน่นอน พร้อมยกตัวอย่างว่า หากซื้อเรือดำน้ำวันนี้ อีก 6 ปีกว่าได้รับ ขอยืนยันว่าผลประโยชน์ของชาติ 24 ล้านล้าน กับงบ 3,925 ล้านบาท เทียบเท่ากับ 0.093% เท่านั้น กองทัพเรือรอบคอบ และใช้งบประมาณอย่างความคุ้มค่าอย่างเต็มที่
ต่อมา พล.ร.ท.ธีรกุล กาญจนะ ปลัดบัญชีทหารเรือ ชี้แจงทำความเข้าใจงบประมาณจัดหาเรือดำน้ำ ว่า เรือดำน้ำทั้ง 3 ลำ มูลค่ารวม 36,000 ล้านบาท โดยลำแรกมูลค่า 13,500 ล้าน ทยอยจ่าย 7 ปี ตั้งแต่ปี 2560-2566 ส่วนอีก 2 ลำ มูลค่า 22,500 ล้านบาท เป็นการจัดหาต่อเนื่องให้ครบตามโครงการ ไม่ใช่โครงการผูกพันงบประมาณเริ่มใหม่ และไม่ใช่การขอรับงบประมาณเพิ่มเติม ซึ่งควรจะมีการลงนามดำเนินการในปีนี้ แต่เกิดการแพร่ระบาดโควิด-19 ซึ่งกองทัพเรือตระหนักถึงความสำคัญของเรือดำน้ำ จึงมีการเจรจาทำความเข้าใจกับรัฐบาลจีน งดการจ่ายเงินงวดแรกไปก่อน โดยงบที่ตั้งไว้ 3,375 ล้านบาท รวมกับงบอื่นๆ ที่กองทัพเรือปรับลดได้โอนคืนรัฐบาล 4,130 ล้านบาท เพื่อแก้ปัญหาโควิด-19 และการจะลงนามจึงต้องปรับปรุงเนื้อหาข้อตกลงใหม่ ทำให้ล่าช้า ขั้นตอนเป็นไปตามกฎหมาย โดยมีกำหนดเบื้องต้นลงนามแบบรัฐต่อรัฐ หรือ จีทูจี ในเดือน ก.ย.นี้ ย้ำว่าทำโดยรอบคอบ ประหยัดและคุ้มค่า ตระหนักดีถึงทุกบาททุกสตางค์
พล.ร.ต.อรรถพล เพชรฉาย ผู้อำนวยการสำนักงานจัดหายุทโธปกรณ์ทหารเรือ ในฐานะกรรมการและเลขานุการคณะกรรมการบริหารโครงการจัดหาเรือดำน้ำ เผยต่อว่า จีนรับทราบว่าไทยจะจัดหาเป็นระยะๆ เมื่อมาถึงปีที่พอจะสนับสนุนงบได้ เพื่อให้ได้เรือดำน้ำมาปกป้องผลประโยชน์ประเทศ เป็นความจำเป็นที่ต้องดำเนินการ ถ้ามาช้ากว่านี้ประชาชนจะอยู่อย่างเป็นสุขได้อย่างไร หากเราถูกบีบคั้น อีกทั้งยังมีพื้นที่อาณาเขตก็ซ้ำซ้อนด้วย จากนั้น น.อ.ธาดาวุธ ทัดพิทักษ์กุล รองผู้อำนวยการสำนักงานจัดหายุทโธปกรณ์ทหารเรือ ให้คำตอบถึงเรื่องการลงนามสัญญาแบบจีทูจีที่ถูกกล่าวหาว่าส่อเป็นโมฆะ ว่า กองทัพเรือไม่เคยพูดเท็จกับประชาชน การจัดหาเรือดำน้ำที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่อยากซื้อก็ซื้อ มียุทธศาสตร์ นักวิชาการ ระบบวิเคราะห์ การมีเรือดำน้ำเป็นสิ่งสำคัญและความจำเป็นกับประเทศ ทรัพย์สินทางทะเล ยุทธศาสตร์ระยะยาว การเสริมกำลัง อำนาจการต่อรอง เราศึกษาและเสนอแนะรัฐบาลจน ครม.เห็นชอบให้จัดหาเรือดำน้ำ
“จีทูจีปลอมคือการกล่าวเท็จ ให้ข้อมูลผิด ครม.อนุมัติให้ ผบ.ทร.เป็นผู้แทนของไทยไปลงนาม ยืนยันได้ว่ามีระเบียบชัดเจน ทุกอย่างถูกต้อง และพิจารณาอย่างรอบคอบตามระเบียบทุกประการ คนลงนามได้รับมอบอำนาจจริงทั้ง 2 ฝ่าย และการลงนามสัญญาจีทูจีนี้ เราใช้ว่าข้อตกลง แต่ก็ไม่ใช่ mou ข้อตกลงในความหมายนี้คือสัญญาในกรอบความเข้าใจตกลงกันแบบจีทูจี เรารักษาผลประโยน์ชาติ และคุ้มค่าของภาษีอย่างที่สุด”.