เปิดปมใหม่ เรียกแขกอีกแล้ว มติ 5 ต่อ 4 ของคณะอนุกรรมาธิการครุภัณฑ์ ไอซีที รัฐวิสาหกิจและทุนหมุนเวียนในคณะ กมธ.งบปี 64 ว่าด้วยการจัดซื้อเรือดำนํ้า 2 ลำจากจีน มูลค่า 22,500 ล้านบาท

ปรากฏว่าการลงคะแนนนั้นฝ่ายสนับสนุนและฝ่ายคัดค้านมีคะแนนเท่ากันคือ 4-4 แต่นายสุพล ฟองงาม ส.ส.จากพลัง-ประชารัฐในฐานะประธานได้ลงคะแนนด้วยทำให้มติออกมา 5 ต่อ 4

“เรือดำนํ้า”...เลยผ่านช่องแคบไปได้แบบฉิวเฉียด

นั่นก็เลยเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาทันทีเนื่องจากกระแสต่อต้านการจัดซื้อนั้นไม่ใช่เพิ่งจะเกิดขึ้นจากมติครั้งนี้

แต่เสียงคัดค้านนั้นเริ่มมาตั้งแต่การที่มีแนวคิดที่จะจัดซื้อแล้ว แต่ก็ดึงดันจนจัดซื้อลอตแรกไปแล้ว

อ้างถึงความจำเป็น ความมั่นคงและมีราคาถูก แถมด้วยออฟชัน พิเศษในรูปแบบรัฐต่อรัฐ ลำที่ 2-3 นี้เป็นโครงการต่อเนื่องโดย ครม.อนุมัติเมื่อวันที่ 28 เม.ย.2558 ให้จัดซื้อทั้งหมด 3 ลำ

จึงเป็นโครงการต่อเนื่องไม่ใช่โครงการใหม่

สถานการณ์การเมืองในขณะนั้นกับในตอนนี้มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนเสียงคัดค้านในห้วงนั้นจึงเป็นเพียงแค่ลมพัดผ่านรัฐบาลและกองทัพจึงไม่ให้ใส่ใจ พยายามแสดงเหตุผลต่างๆนานาและความมั่นคงในอำนาจยังเต็มพิกัด

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและยังเป็นรัฐมนตรีกลาโหมในขณะนั้น จึงสนับสนุนและผลักดันอย่างออกหน้าออกตา

กระแสคัดง้างจึงมิอาจกระเทือนซางแม้แต่น้อย

แม้ในปัจจุบันก็คงคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหา เพราะถือว่าเป็นโครงการต่อเนื่องและ ครม.มีมติอนุมัติไปแล้ว

แต่เป็นการประเมินสถานการณ์ที่ผิดพลาด เพราะกลายเป็นกระแสที่รุนแรงทั้งในสภาและนอกสภา

อีกทั้งสภาพความเป็นจริงทางเศรษฐกิจหลังโควิด-19 ที่กำลังเป็นปัญหาใหญ่จนรัฐบาลต้องกู้เงินเพื่อมาถมให้เต็มถึง 1 ล้านล้านบาท และยังต้องหาอีกก้อนใหญ่มาช่วงพยุงด้วย

...

ก็เลยตั้งคำถามกันว่า เรือดำน้ำมีความจำเป็นในภาวะอย่างนี้หรือ?

ยิ่งการที่ ส.ส.พรรคเพื่อไทยออกมาแฉทำนองว่ามี “คำสั่งพิเศษ” ล็อบบี้ในอนุ กมธ.ต้องผ่านเรื่องนี้ให้ได้

กว่านั้นยังนำเอกสารมาเผยแพร่ว่า แม้จะเป็นโครงการต่อเนื่อง แต่มติ ครม.ในเรื่องนี้อนุมัติให้ซื้อแค่ 1 ลำเท่านั้น ไม่ใช่ 3 ลำแต่อย่างใด

ที่สำคัญไม่ใช่ข้อตกลงรัฐต่อรัฐ แต่มีบริษัทเอกชนดำเนินการ

ประเด็นที่ ส.ส.ฝ่ายค้านออกมาเปิดโปงนั้น จึงอยู่ที่รัฐบาลและกองทัพเรือจะต้องออกมาชี้แจงข้อเท็จจริงอย่างตรงไปตรงมา

เพราะมิฉะนั้นจะทำให้เรื่องนี้เกิดความเสียหาย และกระทบกระเทือนต่อรัฐบาลหนักเข้าไปอีกไม่ใช่แค่ความจำเป็นหรือไม่จำเป็น

ที่แน่นอนก็คือเรื่องนี้กลายเป็นประเด็นทางการเมืองเป็นหัวข้อที่เชื่อมต่อกับข้อเรียกร้องที่เกิดขึ้นอยู่แล้ว

การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่คิดว่าจะเป็นทางออกทางการเมือง แม้รัฐบาลจะเห็นด้วย แต่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น ซึ่งลงท้ายจะออกมาอย่างไรก็ยังคาดเดาได้ยาก

มาเจอเรื่องนี้เข้าไปอีก...

ครับ...ก็ต้องบอกกันตรงๆเลยว่าล่อแหลมจริงๆ.

“สายล่อฟ้า”