กมธ.งบฯ ปี 64 ส.ส.ก้าวไกล ซัก ผบ.ตร.มาตรการดูแลผู้ชุมนุมเกินกว่าเหตุหรือไม่ ด้าน "จักรทิพย์" แจง ขอให้เห็นใจ ตร. มีมาตรา 157 ค้ำคอ ไม่ทำก็ไม่ได้ ยัน ไม่มีการตัดสัญญาณมือถือในที่ชุมนุม
วันที่ 20 ส.ค. ที่อาคารรัฐสภา เกียกกาย ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กมธ.พิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.2564 สภาผู้แทนราษฎร โดยวันนี้ได้เป็นการพิจารณางบประมาณของหน่วยรับงบประมาณ คือ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งมี พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มาชี้แจงด้วยตัวเอง ทั้งนี้ มี นายวรภพ วิริยะโรจน์ และ นายปกรวุฒิ อุดมพิพัฒน์กุล กมธ.งบประมาณ และ ส.ส.จากพรรคก้าวไกล ได้ตั้งคำถามและมีข้อสังเกตในประเด็นที่ตำรวจมีการจับกุม คุกคามนักเรียน นักศึกษา และประชาชน และถามถึงประเด็นการตัดสัญญาณโทรศัพท์ในสถานที่ชุมนุม
นายวรภพ ตั้งข้อสังเกตว่า ในยุคนี้ เป็นยุคที่ประชาชนถูกคุกคามเป็นอย่างมาก อีกทั้งตั้งคำถามไปยังตำรวจด้วยว่า ถ้าประชาชนถูกฟ้องด้วยมาตรา 116 กลับกันหากประชาชนจะฟ้องมาตรา 157 ต่อตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่บ้าง ควรจะฟ้องใคร ถึงจะเกิดความยุติธรรม
ด้าน นายปกรณ์วุฒิ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 16 ส.ค.2563 มีนักเรียน นักศึกษาและประชาชน ออกมาชุมนุมเรียกร้องด้วยข้อเสนอ จำนวน 3 ข้อ ด้วยกัน ซึ่งเป็นการชุมนุมโดยสงบ ปราศจากอาวุธ และเป็นสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่า การชุมนุมไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ จึงอยากตั้งคำถามไปยังผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติและผู้บริหารหน่วยงานว่า ข้อเท็จจริงเป็นเช่นไร เป็นเพราะความหนาแน่นของผู้ชุมนุมที่มีจำนวนมาก หรือเป็นเพราะผู้ให้บริการที่มีเครือข่ายสัญญาณไม่พอ หรือเป็นเพราะการตัดสัญญาณจากทางตำรวจ กันแน่ เนื่องจากมีภาพปรากฏว่า มีรถตำรวจและอุปกรณ์ที่ตำรวจถือ ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับเครื่องตัดสัญญาณโทรศัพท์ หากเป็นเช่นนั้นจริง จำเป็นต้องตั้งคำถามอย่างจริงจัง เพราะงบประมาณที่ใช้ในการจัดซื้อก็ย่อมต้องมาจากภาษีของประชาชน และหากนำกลับมาขัดขวางประชาชน ย่อมเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำและไม่ถูกต้อง
...
อีกทั้งเรื่องสัญญาณโทรศัพท์สำคัญ เพราะว่าสิ่งที่พวกเรากลัวกันมากโดยตลอด คือ การมีมือที่สามที่ไม่หวังดี เข้ามาก่อกวน สิ่งที่จะสามารถทำให้ประชาชนผู้ชุมนุมปลอดภัยได้คือ การสามารถส่งสารจากข้างใน มาสู่ข้างนอกได้ เพื่อบอกเล่าสถานการณ์หรือสามารถส่งสารได้อย่างทันท่วงที ยิ่งไปกว่านั้นการปกป้องประชาชน เป็นหน้าที่โดยตรงของตำรวจอยู่แล้ว
นอกจากนี้ ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า จากที่ทางหน่วยงานนำเสนอต่อ กมธ.เมื่อสักครู่มีคำว่าปรองดอง ดังนั้นสิ่งที่ต้องเน้นย้ำตรงนี้คือคำว่าปรองดองของท่าน กับการ
กระทำของท่าน ไม่สอดคล้องกัน มีการตั้งข้อหาประชาชนด้วยกฎหมายตามมาตรา 116 หรือตั้งข้อหาออกหมายจับตาม พ.ร.บ.ความสะอาดฯ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้กลายเป็นว่ากำลังใช้นิติสงครามในการจัดการประชาชน ยิ่งไปกว่านั้นพฤติกรรมเช่นนี้ ถือเป็นการกลั่นแกล้ง สร้างความกลัวให้กับประชาชนฝ่ายหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้นข้อเท็จจริงปรากฏว่า ในปัจจุบันยังไม่มีการตั้งข้อหาคดีความกับผู้ที่ออกมาชุมนุมที่เป็นผู้สนับสนุนรัฐบาล ตนพูดเช่นนี้ก็อย่าไปตั้งข้อหา เพราะไม่ต้องการให้ทำแบบนั้นกับผู้ชุมนุมไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใด เพราะเป็นสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ
จึงอยากขอเรียกร้องให้หยุดคุกคามประชาชนตามคำเรียกร้องของผู้ชุมนุม 1 ใน 3 ข้อให้เจ้าหน้าที่รัฐมีการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเป็นธรรม เพราะเชื่อเหลือเกินว่าท่านในที่นี้หลายๆ คนมีลูกมีหลาน มีคนในครอบครัวเป็นเยาวชน ท่านก็คงจะรู้ว่าเยาวชนในยุคนี้ พวกเขาสามารถคิดเองได้ ในฐานะที่เป็นผู้ปกครอง พ่อแม่ เป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ต้องพิทักษ์ประชาชน เยาวชน ไม่ใช่ไปทำร้ายเขา ไปข่มขู่คุกคามพวกเขา เพื่อพิทักษ์อำนาจใคร หากทำเช่นนั้นไม่ใช่ทำร้ายแค่พวกเขาเท่านั้น แต่เป็นการกำลังทำลายความหวังของอนาคตของลูกหลานของพวกท่านด้วย
ทางด้าน พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ชี้แจงว่าตน ได้กำชับกับทางตำรวจว่า อย่าไปสร้างเงื่อนไข ตำรวจต้องวางตัวเป็นกลางเลือกข้างไม่ได้ อีกทั้งปัจจุบันโลกมันเปลี่ยนไปแล้ว มีกล้องในพื้นที่ชุมนุมเต็มไปหมด ตำรวจทำอะไรต้องระมัดระวัง ซึ่งตนได้กำชับรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ดูแลเรื่องข้อกฎหมายเพราะมีกฎหมายเป็นอย่างมาก ตำรวจไม่ได้อยากทำ ทั้งนี้ ท่านไม่เป็นตนท่านไม่รู้หรอก ตนมีมาตรา 157 ค้ำคอ ไม่ทำก็ไม่ได้ ท่านจะประท้วงที่ทุ่งกุลาร้องไห้ไปเลย แต่ท่านเลือกชุมนุมตามยุทธศาสตร์อย่างอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
ส่วนเรื่องการตัดสัญญาณในที่ชุมนุม ที่มีคนอยู่กว่า 12,000 คน มาอยู่รวมกัน ยังไงก็ต้องมีติดต่อไม่ได้บ้าง ทั้งนี้ เราไม่มีเจตนาเอาสัญญาณมารบกวนแต่อย่างใด ตำรวจเองก็ใช้ไม่ได้ด้วย ซึ่งก่อนที่จะมีคนมาชุมนุม ตำรวจได้ตรวจพบวัตถุต้องสงสัยเป็นดินเทา โดยดินเทาเป็นดินที่เป็นสารตั้งต้นจุดระเบิดได้ ซึ่งตามจุดยุทธวิธีแล้วเมื่อเราพบจุดบอกเหตุ เราต้องเตรียมตัว และเจตนาของตำรวจ คือ ดูแลความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนทุกคน อย่าไปสันนิษฐานในทางไม่ดี ตำรวจไม่ได้มีเจตนาแบบนั้น ตนไม่ใช่เป็นผู้ขัดแย้ง แม้แต่เหตุการณ์ที่มีนักศึกษามากระทบกระทั่งกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตนก็บอกลูกน้องว่าให้อดทน
นอกจากนี้ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ได้กล่าวทิ้งท้ายด้วยว่า ขอให้ผู้ชุมนุมเชื่อฟังคำชี้แจงของเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วย และในส่วนของมาตรา 116 พ.ร.บ.ความสะอาด ตนจะรับข้อสังเกตไปดำเนินการแก้ไข พร้อมขอให้กรรมาธิการพิจารณาไม่ตัดงบประมาณของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ