“ซูเปอร์โพล” เผยคนส่วนใหญ่ หวั่นการเมืองลุกลามบานปลาย เพราะพิษเศรษฐกิจ-ปัญหาทุจริตคอร์รัปชันรุนแรงหนัก ด้าน “ผศ.ดร.นพดล” ห่วงคลื่นอารมณ์ประชาชนโลกโซเชียล จะกลายเป็น “สึนามิ” อย่างน่ากลัว ขยายกว้างเป็นม็อบใหญ่

เมื่อวันที่ 9 ส.ค. ผศ.ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล เปิดเผยผลสำรวจภาคสนาม เรื่อง อารมณ์ประชาชน กรณีศึกษาประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ ผ่าน “เสียงประชาชนในโลกโซเชียล” จำนวน 16,099 ตัวอย่าง และ “เสียงประชาชนในสังคมดั้งเดิม” จำนวน 2,459 ตัวอย่าง พบว่าส่วนใหญ่หรือร้อยละ 81.6 ระบุปัญหาการเมืองจะรุนแรง ลุกลามบานปลาย ในขณะที่ร้อยละ 18.4 ระบุไม่รุนแรง ในขณะที่ส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 87.9 ระบุปัญหาเศรษฐกิจจะรุนแรง ลุกลามบานปลาย คนตกงานเพิ่มขึ้น ในขณะที่ร้อยละ 12.1 ระบุไม่รุนแรง

ที่น่าเป็นห่วงคือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 62.2 ระบุ ปัญหาทุจริตคอร์รัปชันอยู่ในระดับรุนแรง ในขณะที่ร้อยละ 37.8 ระบุไม่รุนแรง นอกจากนี้ผลสำรวจพบว่า ก้ำกึ่งกันคือ ร้อยละ 49.1 อดทน ยอมรับได้ต่อปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน ถ้าตนเองได้ประโยชน์ ในขณะที่ร้อยละ 50.9 ระบุ ไม่ทนต่อปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน แม้ตนเองจะได้ประโยชน์ก็ตาม

ผศ.ดร.นพดล ระบุผลการสำรวจ “เสียงประชาชนในโลกโซเชียล” พบอารมณ์ประชาชนในโลกโซเชียลต่อข้อความการเมืองแต่ละข้อความที่สำคัญ มีการปล่อยออกในโลกโซเชียลอย่างมีระบบแบบแผน มีการเคลื่อนไหวในลักษณะลูกคลื่น ที่มีการรับช่วงต่อเป็นทอดๆ ของกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองที่แรงๆ โดยมีผู้ก่อการ ข้อความการเมืองมักเป็นพวกนินจาที่จัดอยู่ในกลุ่ม Influencer ระดับคะแนนแค่ 1 จากคะแนนเต็ม 10 มีคนติดตาม (Follower) ประมาณ 20 คนเท่านั้น จากนั้น แกนนำ นักเคลื่อนไหวการเมือง จะนำข้อความการเมืองมาพูดซ้ำและได้รับการพาดหัวข่าวแพร่สะพัดกระจายเป็นไวรัล (Viral) คลื่นอารมณ์ประชาชนก้อนโตในโลกโซเชียล

...

“ยกตัวอย่าง ในวันที่ 14 กรกฎาคม ที่ผ่านมา มีผู้ก่อการใช้นามแฝง ปล่อยข้อความการเมืองเข้าสู่โลกโซเชียลว่า ถ้าไม่สู้ก็อยู่อย่างทาส ใครก่อขบฐกับรัฐบาล คนนั้นคือวีรบุรุษ ให้สังเกตคำว่าขบฐ จงใจเขียนถูกเขียนผิดหรือไม่ และตอนนั้นไม่แรง เป็นแค่หลักหน่วย ต่อมาในวันที่ 17 กรกฎาคม ได้ปล่อยข้อความเดียวกันออกมาอีกครั้ง โดยมีเครือข่ายตอบรับเพิ่มอีกเล็กน้อย แต่ต่อมากลายเป็นไวรัล (Viral) ในวันที่ 7 สิงหาคม ขึ้นสู่หลักล้าน”

ที่น่าพิจารณาคือ คลื่นอารมณ์ของประชาชนในโลกโซเชียลที่ก่อตัวเกิดขึ้นต่างวันและห้วงเวลาแบบกระจัดกระจายกำลังมารวมตัวกันในห้วงเวลาเดียวกันเป็นก้อนใหญ่ระหว่างวันที่ 6 สิงหาคมเป็นต้นไป และมีศักยภาพจะกลายเป็น สึนามิ ได้อย่างน่ากลัว ถ้ามีการเชื่อมโยงกันได้ระหว่างอารมณ์ประชาชนในโลกโซเชียลกับโลกความเป็นจริง ตามยุทธการ (Online-Onground) โดยแต่ละข้อความการเมืองมีช่องทางในการสื่อแตกต่างกัน ในการศึกษาครั้งนี้พบข้อความที่ว่า “คณะประชาชนปลดแอก” ใช้ทวิตเตอร์ร้อยละ 57.2 น้อยกว่าข้อความอื่นๆ เช่น ข้อความที่ว่า “เยาวชนปลดแอก” ใช้ทวิตเตอร์ร้อยละ 91.3 โดยข้อความว่า คณะประชาชนปลดแอก หันไปใช้สำนักข่าวต่างๆ มากถึงร้อยละ 20 แต่ถ้าข้อความที่ว่า “ให้มันจบที่รุ่นเรา” จะใช้อินสตาแกรม ร้อยละ 13.6 และใช้ทวิตเตอร์ร้อยละ 79.8 ในขณะที่ข้อความการเมืองที่ว่า ถ้าไม่สู้ก็อยู่อย่างทาส ได้ใช้ทวิตเตอร์ร้อยละ 85.2 และใช้วิดีโอ ร้อยละ 8.8 ตามด้วย ข่าว ร้อยละ 4 เป็นต้น

ผอ.ซูเปอร์โพล กล่าวว่า อารมณ์ประชาชนกำลังปรับทิศทางเข้าหากัน โดยเริ่มจากอารมณ์ประชาชนในโลกโซเชียลก่อน และเมื่อลุกลามมานอกโลกโซเชียล จะทำให้เกิดคลื่นมวลประชาชนออกมาแสดงตนต่อปัญหาทางการเมือง ปัญหาเศรษฐกิจ และปัญหาทุจริตคอร์รัปชันที่ประชาชนครึ่งหนึ่งจะไม่ทนต่อปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้

นอกจากนี้จากการย้อนดูข้อมูลในช่วงเวลาสองถึงสามเดือนที่ผ่านมาพบว่า ก้อนคลื่นอารมณ์ประชาชนที่เกิดขึ้นนั้นส่วนหนึ่งรัฐบาลเป็นผู้ก่อจากการแย่งชิงตำแหน่งรัฐมนตรี การกดดันให้กลุ่มสี่กุมารลาออกในลักษณะเสร็จนาฆ่าโคถึก ปัญหาภายในพรรคพลังประชารัฐทำให้เกิดก้อนคลื่นอารมณ์ประชาชนที่ “ไม่โอเค” กับความวุ่นวายภายในรัฐบาล ขณะที่ประชาชนกำลังทุกข์ยากเดือดร้อน และมารวมตัวกับก้อนคลื่นอารมณ์ประชาชนที่อยู่ในโลกโซเชียลจากการออกมาแสดงความไม่โอเคต่อรัฐบาล ที่นำโดยม็อบเยาวชนปลดแอกและคณะประชาชนปลดแอก

"กำลังนำไปสู่สถานกาณ์ที่เปราะบางของบ้านเมืองในอนาคตอันใกล้ จนยากจะหาทางออกได้ในเวลานี้ ทางแก้อยู่ที่ข้อมูลของคนมีอำนาจว่าจะแม่นยำถูกต้องครอบคลุมและทันเวลาหรือไม่ และอยู่ที่ผู้มีอำนาจจะให้เกิดปฏิบัติการอะไรออกมาที่ตรงเป้าความต้องการ ไม่ฝืนอารมณ์ประชาชน".