ไม่มีใครสะกดจิต พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้พูดเรื่องนี้
แต่ “นายกฯลุงตู่” พูดเองกลางสภาฯ ยอมรับว่าไทยโดนเวียดนามแซงหน้าไปแล้วจริงๆ
นายกฯลุงตู่ ยอมรับว่าเวียดนามดึงดูดนักลงทุนต่างชาติได้เป็นกอบเป็นกำ
เพราะเวียดนามมีแต้มต่อเหนือกว่าไทย 3 ประการ
1.ค่าจ้างแรงงานต่ำกว่าไทย
2.เวียดนามเซ็นสัญญาเขตการค้าเสรีกับกลุ่มอียูทำให้ส่งสินค้าเข้าไปขายในตลาดอียูสะดวกโยธิน
ขณะที่ไทยยังต้องเจรจาเขตการค้าเสรีกับกลุ่มอียูอีกหลายปี
3.เวียดนามเป็นหุ้นส่วนเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก 11 ประเทศ (ซีพีทีพีพี) ร่วมกับญี่ปุ่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ แคนาดา เม็กซิโก ชิลี เปรู ฯลฯ ทำให้เวียดนามได้สิทธิ์ยกเว้นภาษีนำเข้าประเทศสมาชิกซีพีทีพีพี
ส่วนไทยเรายังเก้ๆกังๆ ยังไม่ตัดสินใจจะเข้าดีหรือไม่เข้าดี มัวแต่คิดช้าทำช้าเลยโดดเกาะรถด่วนไม่ทัน
“แม่ลูกจันทร์” ชี้ว่าปัญหาไทยเสียเปรียบเวียดนามในสนามแข่งขันทางการค้าและการลงทุนเป็นเรื่องน่าหนักใจ
แต่ยังไม่สายเกินไปที่ไทยจะสปรินต์ร้อยเมตร ไล่บี้แซงกลับเวียดนาม
หรือ เราจะปล่อยให้เวียดนามคู่แข่งตัวแสบ ทิ้งโค้งหนีไทยไกลขึ้นทุกที??
จะเอาแบบไหน? อยู่ที่รัฐบาลลุงตู่ และภาคเอกชนต้องรวมพลังช่วยกันตะลุมบอน
ข่าวล่า (ที่ไม่น่ายินดี) องค์การค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (เจโทร) เปิดผลสำรวจความเห็นนักลงทุนญี่ปุ่น 1,000 ราย สรุปผลสำรวจล่าสุด กลุ่มนักลงทุนญี่ปุ่น 24 เปอร์เซ็นต์ ยังเลือกจะลงทุนในเมืองไทยตามเดิม
แต่นักลงทุนญี่ปุ่นอีก 41 เปอร์เซ็นต์ สนใจเบนเข็มไปลงทุนในเวียดนาม
เหตุผล...เพราะเวียดนามทำเอฟทีเอกับกลุ่มอียู และเวียดนามเข้าเป็นหุ้นส่วนเศรษฐกิจแปซิฟิก (ซีพีทีพีพี) สินค้าที่ผลิตในเวียดนามจึงได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีมากกว่าสินค้าที่ผลิตในเมืองไทย
“แม่ลูกจันทร์” ย้ำว่าไม่ใช่นักลงทุนต่างชาติเท่านั้นที่สนใจแห่ไปลงทุนในเวียดนาม
นักลงทุนไทยเองแท้ๆ ยังแห่ถอนเสาเรือนย้ายฐานไปลงทุนในเวียดนามกันโครมๆ
กลุ่มอุตสาหกรรมสิ่งทอไทย ปิดโรงงานในเมืองไทย ย้ายฐานการผลิตไปเวียดนาม 11 โรงงาน และที่กำลังย้ายตามไปอีกขบวนโต
ล่าสุด กลุ่มศรีไทยซุปเปอร์แวร์ ประกาศทุ่มงบก้อนใหญ่ตั้งโรงงานแห่งที่ 4 ในเวียดนาม
การที่นักธุรกิจไทยย้ายไปลงทุนในเวียดนามจะทำให้แรงงานไทยตกงานกันอ่วมอรไท
เฮ้อ...เหนื่อยใจแทนนายกฯลุงตู่ซะแล้วโยม.