ตามรอยโมเดลชิงการนำของพรรคพลังประชารัฐมาติดๆ แต่ก็ไม่รู้บวกลบคูณหารแล้ว เกมเขย่าขย่มในค่ายประชาธิปัตย์จะได้คุ้มเสียหรือไม่ จะกลายเป็นป่วนจนแตกแยกทางใครทางมันต่อไป
กลายเป็นการลดไซส์พรรค ร่วมบอนไซตัวเองไปมากกว่านี้หรือเปล่า
กับกระแสข่าวการล่ารายชื่อกรรมการบริหารพรรคให้ถึงกึ่งหนึ่งของ 39 คน เพื่อให้ กก.บห.ชุดเดิมสิ้นสภาพ โละยกชุดเพื่อปรับโครงสร้างพรรคให้เลิศหรูดูดีกันใหม่ นั่นก็น่าจะเป็นแค่วาระแฝงกระแทกชิ่ง
เพราะเอาเข้าจริงเป้าหมายที่หวังกันคือจุดหมายที่เก้าอี้รัฐมนตรีในคิวปรับ ครม.ที่จะตามมาเร็วๆนี้
อันที่จริงถ้าจับสัญญาณการขยับตั้งแต่ต้นในค่ายประชาธิปัตย์ เริ่มตั้งแต่เมื่อราวต้นปีก็มีสัญญาณให้เห็น โดยเฉพาะเมื่อ “อันวาร์ สาและ” ส.ส.ปัตตานี รองเลขาธิการพรรค ออกมากระตุ้นผู้บริหาร ปชป.ตื่นตัว
แก้ปัญหาภายใน หยุดเลือดสีฟ้าไหลออกกระฉอกใหญ่
คนใน ปชป.ก็ส่งเสียงเชียร์ “อันวาร์” ที่ชูแนวทางปฏิรูปโครงสร้างพรรค แม้จะไม่ออกหน้าแสดงตัว แต่เช็กเสียงแล้วออกไปในทางเห็นด้วยเอาด้วยเมื่อถึงจังหวะเวลา เพียงแต่ว่าสถานการณ์ “โควิด” มาคั่น
ต้องเว้นวรรครายการใหญ่ แต่มีแรงกระเพื่อมภายใน คลื่นใต้น้ำปุดๆ
ผลพวงจากเลือดไหลออก บิ๊กเนมอำลาประชาธิปัตย์ ล้วนแล้วแต่ดีกรีลูกหม้อและมืองาน เป็นสัญญาณอันตราย เสี่ยงเดินเข้าแผนอำพรางกับดัก “ตัดตอน” ประชาธิปัตย์อีกรอบ
โดยเฉพาะบิ๊กเนมอย่าง “พีรพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” ลาออกจาก ปชป.ปั๊บ ก็นั่งเก้าอี้กุนซือผู้นำปุ๊บ
แถมมีกระแสติดโผ “ว่าที่หัวหน้าค่าย พปชร.” ที่วางเป็นตัวจริงรอบต่อไป
...

ในโปรไฟล์ที่แน่นปึ้ก “พีรพันธุ์” ต้องจับตา โดยเฉพาะกับสายสีเขียวลายพราง สายสัมพันธ์ “ซ.ค.คอนเน็กชั่น” ในฐานะเพื่อนเลิฟร่วมรั้วน้ำเงิน–ขาว โรงเรียนเซนต์คาเบรียลกับ “บิ๊กท็อปบูต”
ขณะที่อีกรายที่ต้องโฟกัสกับคิวที่ “เสี่ยโต” อภิชัย เตชะอุบล ไขก๊อกลาออกจากเก้าอี้เหรัญญิกพรรคตั้งแต่เดือน มี.ค. แต่ยังคงสถานะ ส.ส. และสมาชิกพรรค เป็น “จุดเร้า” เกมเขย่ายกเครื่องพรรค
“จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” รองนายกฯ ในฐานะหัวหน้าค่าย และบรรดารัฐมนตรีเฟสแรก ก็รับรู้ดี หลายรายอาจถึงจังหวะต้อง “ลุก” จากเก้าอี้ เริ่มถูกทวงถาม “หมดรอบแล้ว”
เป็นคิวใหญ่ที่ “จุรินทร์” กับ “เสี่ยต่อ” เฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรฯ ในฐานะเลขาธิการพรรค เริ่มระดมสมองจัดแผนเกลี่ยเก้าอี้จัดโผให้ลงตัว และแน่นอนให้จับตาไปที่ชื่อของ “อภิชัย” ในฐาน “น้ำใจงาม” โดยเฉพาะโมงยามนี้ มีสิทธิสูงได้คั่วเก้าอี้ เป็น “เสนาบดีป้ายแดง”
กลับมาที่ต้นตอต้นแบบ “โมเดลเขย่าค่าย” สะเทือนไปถึงเก้าอี้รัฐมนตรี พรรคพลังประชารัฐสถานการณ์เริ่มนิ่ง เมื่อเสียงคำราม “เสือไว้ไลน์” อย่าง “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ฮึ่มๆ
การปรับเปลี่ยนในพลังประชารัฐ วันนี้เริ่มชัด เตรียมเรียกประชุมกรรมการบริหารพรรคชุดรักษาการกลางเดือน มิ.ย. ก่อนนำไปสู่การจัดทัพใหม่เดือนหน้า
หลายเก้าอี้อยู่ในโหมดต่อรอง เพราะผลต่อเนื่องรายการนี้ไปถึงรายการใหญ่ “ปรับ ครม.”
ที่น่าจะแบเบอร์ เก้าอี้หัวหน้าพรรคของ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ประธานทีมยุทธศาสตร์พรรค ขึ้นแท่นคุมเกมในค่ายแทนน้องเลิฟ หลังระวังหน้า ระวังหลัง ระแวงทีมปรมาจารย์
ถึงเวลาที่พี่ใหญ่ “สามทหาร” ยึดอำนาจจาก “สี่กุมาร”
ส่วนเก้าอี้เลขาธิการพรรค “เสี่ยแฮงค์” อนุชา นาคาศัย รองหัวหน้าพรรค รายนี้นอกจากคิวแตะมือของ “สามทหาร–สามมิตร” แล้ว ปฏิเสธไม่ได้ว่า ถึงเวลาต้องได้ความดีความชอบ
เพราะลูกค่ายต่างก็ยอมรับใน “น้ำใจ” ทั้งแรงกาย–เสบียงสนับสนุนถึงเพื่อนพ้องน้องพี่ช่วงเลือกตั้ง จนถึงคิว “เสียสละ” เก้าอี้ตอนฟอร์มทีมตั้งรัฐบาล ถึงแม้ไร้หัวโขนแต่สั่งสมกัลยาณมิตร ด้วย “น้ำใจ” ที่ไม่มีการเว้นระยะโซเชียลดิสแทนซิ่ง ถึงเป็นประเภทพูดน้อย แต่จัดหนักจัดเต็มถ้าได้รับการร้องขอ
เก้าอี้พ่อบ้าน พปชร.จึงไม่น่าจะพลาด
แต่ที่ต้องลุ้นต่อกันไปตามเสียงเชียร์คนในค่าย พปชร. และ “คุณลุงพี่ใหญ่” หนุน สุดท้ายจะเข้าตาผู้นำหรือไม่ ในจังหวะที่ถูกโยนชื่อใส่ดีกรีเก็บเข้าแฟ้ม รอเคาะสุดท้าย
กับสถานการณ์การเมืองนิวนอร์มอล วิถีใหม่ต้องตระหนักกับงานยากฟื้นฟูบ้านเมืองหลังวิกฤติเชื้อโรค ขณะที่ “ธรรมชาติ” ของการเมือง ผู้นำก็เรียนรู้จนเรียกว่าเชี่ยวกรากช่ำชอง
“บิ๊กตู่” กับดุลอำนาจแน่นมือ คงผสมสูตรวิถีใหม่–สูตร “ธรรมชาติ” ควบคู่ คงเฟ้นมืองานได้ลงตัว.
ทีมข่าวการเมือง