“วิษณุ” ห่วงหลัง 1 ก.ค. หากเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน อาจทำงานลำบาก ยอมรับสถานการณ์ดีขึ้นอาจปลดทุกล็อกได้ รวมถึงเลิกเคอร์ฟิว

วันที่ 8 มิถุนายน 2563 นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงการพิจารณาผ่อนคลายกิจการหรือกิจกรรมเพิ่มเติม ว่า คณะทำงานกลั่นกรองจะใช้เวลาช่วง 2 สัปดาห์ของเดือนมิถุนายน เพื่อประเมินว่าจะใช้มาตรการอย่างไรต่อไป ส่วนตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน จนสิ้นเดือน จะเฝ้าติดตามสถานการณ์ หากสามารถควบคุมสถานการณ์อยู่หรือดีขึ้น อัตราการติดเชื้อคงที่ หรือหากมีการติดเชื้อก็เป็นกรณีที่ติดจากเมืองนอก ถ้าในประเทศมีตัวเลขเป็นศูนย์ และนิ่งต่อกันได้หลายวันอย่างที่ผ่านมา การจะนำไปสู่การปลดล็อกทั้งหลายโดยสิ้นเชิงก็เป็นไปได้ ขณะนี้ได้เตรียมการไว้ทุกรูปแบบ คือ

  • กรณีแรก เตรียมการที่จะต่อ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน
  • กรณีที่สอง เตรียมการที่จะเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
  • กรณีที่สาม เตรียมการที่จะต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่งดใช้มาตรการต่างๆ เช่น สามารถที่จะชุมนุมได้ เลิกเคอร์ฟิว ซึ่งทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ แต่ขณะนี้ถือว่าสถานการณ์ดี

ผู้สื่อข่าวถามว่า หากสถานการณ์ดีเช่นนี้การผ่อนคลายมาตรการระยะที่ 4 จะไม่มีปัญหาใช่หรือไม่ นายวิษณุ ตอบว่า มองจากวันนี้ก็ใช่ แต่หากลองปล่อยแล้วเกิดความประมาท ชะล่าใจขึ้นมา ตรงนี้ก็น่ากลัว ที่เป็นห่วงคือวันที่ 1 กรกฎาคม เป็นต้นไป จะเป็นวันหมดอายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และยังเป็นดีเดย์การเปิดภาคเรียนและสนามบินด้วย ขณะนี้โรงเรียนก็คิดวิธีการอยู่ ทั้งเรื่องเวลาเด็กเข้าห้องน้ำ เล่นกีฬา จะทำอย่างไร ถ้าทุกอย่างคุมกันได้เองเช่นนี้ก็วางใจได้ หากวันที่ 15-31 มิถุนายน ปลอดภัย ก็เชื่อว่าวันที่ 1 กรกฎาคม ก็น่าจะปลอดภัย คนต่างชาติที่เข้ามาก็ไม่ได้เดินไปโรงเรียนอยู่แล้ว ต่อจากนั้นอีก 3-4 วัน ก็จะเป็นวันหยุดยาว ทำให้ต้องนำทุกอย่างมาเป็นปัจจัยคิด ซึ่งยังไม่มีคำตอบในเวลานี้ 

...

ส่วนเรื่องแนวโน้มการต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน นายวิษณุ ระบุว่า มีทุกทางอย่างที่บอกไป พอดู พ.ร.บ.โรคติดต่อ แล้ว หลายเรื่องไม่สามารถที่จะบริหารจัดการเหมือนอย่างการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พนักงาน เจ้าหน้าที่ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขตั้งขึ้นมา ไม่สามารถที่จะบูรณการทหารพลเรือนเข้ามาได้ แค่การนำคนลงจากเครื่องเข้ามาแล้วนำไปในสถานกักกันของรัฐ สมมติว่าเป็นพื้นที่ค่ายทหาร หากภายใต้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน สามารถรับช่วงต่อบูรณาการทำงานกันได้ แต่ยังนึกไม่ออกว่าภายใต้ พ.ร.บ.โรคติดต่อ จะทำอย่างไร เพราะตามกฎหมายนี้เป็นอำนาจของผู้ว่าราชการแต่ละจังหวัด สมมติว่าไปสัตหีบ ก็ต้องเริ่มต้นที่ผู้ว่าฯ กทม. ผู้ว่าฯ สมุทรปราการ ผู้ว่าฯ ชลบุรี ต้องออกคำสั่งเป็นทอดๆ ไปถึงสัตหีบ ค่าใช้จ่ายใครจะเป็นคนดูแล ทุกวันนี้คือรัฐ เพราะรัฐเป็นคนปิด หรือกรณีที่ผู้โดยสารนั่งเครื่องบินมาแล้วเกิดการติดเชื้อกันมาก สนามบินสุวรรณภูมิที่อยู่ใน จ.สมุทรปราการ ผู้ว่าราชการจังหวัด กล้าปิดสนามบินสุวรรณภูมิหรือไม่ ไม่ให้สายการบินทั้งหมดลง แต่ทุกวันนี้ที่สั่งได้เพราะ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน

เมื่อถามต่อว่าหากเปิดให้ต่างเข้ามาแบบประเทศต่อประเทศ จะมีการพิจารณาเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า เพราะเรามีการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จึงมีการปิดสนามบิน เป็นเหตุเป็นผลต่อเนื่องกันโดยใช้พ.ร.บ.การเดินอากาศ ต่างประเทศก็เช่นเดียวกัน เมื่อมีการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จึงปิดสนามบิน ถ้าเราไม่ประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แล้วไปปิดสนามบิน จะอธิบายกับสายการบินไม่ได้ วันนี้เราให้เหตุผลว่าเป็นเพราะการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จากเหตุโควิด-19 และบางอย่างแม้ไม่ประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ก็สามารถดำเนินตามมาตรการได้ เช่น การสวมหน้ากาก และการเว้นระยะห่างระหว่างบุคคล.