มาตามนัด
ปลดล็อก พปชร.
พลันที่รัฐบาลปลดล็อกเข้าสู่เฟส 3 ยังไม่ทันสะเด็ดน้ำเพราะแค่เริ่มต้นเท่านั้นก็ไล่กวดมาติดๆกับปัญหาขัดแย้งในพลังประชารัฐ
18 กรรมการบริหารก็ขยับทันทีด้วยการยื่นใบลาออกทำให้คนลาออกกับคนที่ยังอยู่จาก 34 คนสัดส่วนต่างกันทันที
เท่ากับให้คำตอบว่าต้องพ้นจากตำแหน่งทั้งชุดโดยปริยาย
ภายใน 45 วัน จะต้องมีการเลือกตั้งกันใหม่ทั้งหมดตามกติกา ตัวเลขที่ออกมานั้นแม้ระยะแรกจะก้ำกึ่งกันจนต้องลงแขกผลิดอกออกผลเสกตัวเลขได้สมใจนึก
ขนาดว่าไม่จำเป็นต้องใช้ “ของตาย” จากฝ่ายเดียวกันด้วยซ้ำไป
อีกทั้งบรรดามีที่เคยอยู่อีกข้างก็กระโดดข้ามฟากไปสู่ศูนย์อำนาจด้วยพลังดูดและอนาคตข้างหน้าไม่จำเป็นต้องสวมหน้ากากกันอายด้วยซ้ำไป
“เจ้าของเงินคือเจ้าของพรรค”...
อย่าง “อุตตม สาวนายน”-“สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์” พึงจำเอาไว้การเมืองไทยนั้นไม่มี “ของฟรี” ต้องมีของแลกเปลี่ยนแบบ “ธุรกิจการเมือง” ซ่อนรูป
หัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรคคือ “หัวโขน” เมื่อถึงเวลาหนึ่งตั้งได้ก็ปลดได้ไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน ต้องทำใจเพราะ “พรรคของเขา” ไม่ใช่ “พรรคของเรา”
“ไม่รู้”...นั่นไงง่ายๆแค่นี้แหละ
มาถึงขั้นนี้ก็ตัดแปะติดข้างฝาเตือนความจำล่วงหน้าเอาได้เลยว่าพลังประชารัฐยุค “3 ป.” กำลังแปลโฉม
“พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” หัวหน้าพรรคคนใหม่
“อนุชา นาคาศัย” เลขาธิการพรรคถอดด้าม
เพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามแนวทางอยู่ยาวอยู่นานแบ่งภารกิจ “พี่ใหญ่” คุมการเมืองเต็มไม้เต็มมือ “พี่รอง” คุมมหาดไทยขยายอาณาจักรไปทั้งประเทศ “น้องเล็ก” ก็มั่นคงบนเก้าอี้นายกฯ
“คุยกันทุกวัน”...หัวหน้าพรรคคนใหม่กล่าวย้ำ เพื่อตอบคำถามว่าแล้วนายกฯลุงตู่รู้เรื่องนี้หรือเปล่า หันหลังให้กันหรือเปล่า
ไม่ต้องไปหาคำตอบให้มากความว่า “รู้กันหรือเปล่า?”
เพียงแต่ต้องเล่นกันคนละบทแสดงกันคนละหน้า มีแต่คนที่กำลังทำงานเท่านั้น ที่ต้องบอกว่า “เซ่อ บ้า หลงเงา” จนเสียเหลี่ยม ไม่รู้แต้มคูการเมืองอยู่ไปก็กระไรอยู่น่า เพราะ “เขาไล่อยู่ทุกวัน”...
มองข้ามช็อตในขั้นต่อไป ย่อมหนีไม่พ้นที่จะต้องมีการปรับ ครม.เพื่อสนองความต้องการแม้นายกฯบอกสังคมว่า แยกส่วนกันชัดเจนไม่เกี่ยวกับพรรค
แต่เป็นอำนาจที่จะตัดสินใจเอง พรรคไม่เกี่ยว คนอื่นไม่เกี่ยวก็เนียนๆกันอย่างนี้แหละ...
ว่าไปแล้ว “4 กุมาร” นั้นทำงานร่วมกันมาในฐานะ “ทีมเศรษฐกิจ” ตั้งแต่เริ่มรัฐบาล คสช.ลากยาวกันมาจนถึงปัจจุบัน
หากมาถึงจุดหนึ่งคิดว่าไม่สามารถตอบสนองเรื่องเศรษฐกิจได้อย่างที่หวังต้องการ “ทีมใหม่” เข้ามาทำงานแทน
ก็บอกพวกเขาตรงๆไปเลยดีกว่า...ลูกผู้ชายกว่า
ไม่ใช่ใช้วิธีการในลักษณะ “ดราม่า” ด้วยการใช้ลูกพรรคไปบีบเค้นสนองความต้องการอย่างแล้งน้ำใจเกินไป
ที่สุดคอยดูกันต่อไปเถอะ...ด้วย “อำนาจบังตา” อย่างนี้แค่แย่งเก้าอี้รัฐมนตรีจากคนในพรรคในการปรับ ครม.ก็ดูไม่จืดแล้ว...แม้มากบารมีแค่ไหนก็ตาม
ตัดแปะติดข้างฝาเอาไว้อ่านเมื่อยามหมดอำนาจด้วยอาลัย!