ในระหว่างการอภิปราย พ.ร.ก.กู้เงินและให้กู้เงิน 1.9 ล้านล้านบาทที่ผ่านมา มีอยู่หลายคำที่ ส.ส.ฝ่ายค้านชอบพูดบ่อยครั้ง เช่น คำว่า “ตีเช็คเปล่า” “แบ่งเค้ก” “อุ้มคนรวย” และ “ไม่ดูแลคนจน” เป็นต้น สะท้อนถึงความไม่มั่นใจ ไม่ไว้วางใจว่าเงินกู้มหาศาลจะถูกนำไปใช้จ่ายอย่างโปร่งใส สุจริต และคุ้มค่าหรือไม่

กลุ่ม ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ นำโดยนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ส.ส.ตรัง จึงเสนอญัตติขอตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อติดตามและตรวจสอบการใช้เงินกู้ ขณะที่นายภราดร ปริศนานันทกุล อ่างทอง พรรคภูมิใจไทย แถลงว่า จะร่วมกับ ส.ส.กว่า 20 คน จากพรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกล และพรรคประชาธิปัตย์เสนอญัตติเดียวกัน

แสดงว่ามี ส.ส.จากทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านที่เห็นว่าควรมีคณะกรรมาธิการวิสามัญมาตรวจสอบการใช้จ่าย เพราะ พ.ร.ก.กู้เงินไม่ได้ผ่านการรับฟังความ คิดเห็นของผู้เกี่ยวข้อง ไม่มีการวิเคราะห์ ผลกระทบรอบด้านตามรัฐธรรมนูญมาตรา 77 จึงเปรียบเสมือนการ “ตีเช็คเปล่า” อีกทั้ง ส.ส.บางฝ่ายอาจได้กลิ่นทะแม่งๆ

ตัวอย่างเช่น เลขาธิการพรรคเพื่อไทยเล่าให้นักข่าวฟังว่ามีข่าวลือระบุว่าผู้มากด้วยบารมีบางคนได้ตั้งโต๊ะเรียกนักธุรกิจในสังกัดมา “แบ่งเค้ก” เงินกู้ 4 แสนล้านบาทกันชื่นมื่น ส่วนกลุ่ม ส.ส.ประชาธิปัตย์เล่าว่า มีการเร่งรัดให้ทุก จังหวัดทำโครงการเพื่อขอเบิกเงินกู้ และอาจมีการฮั้วระหว่างผู้รับเหมากับผู้มีอำนาจ

การตรวจสอบและถ่วงดุลเป็นหน้าที่และอำนาจสำคัญของ ส.ส.ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน จึงเป็น “ผู้แทนปวงชนชาวไทย” อย่างสมภาคภูมิ แต่น่าแปลกใจ แกนนำพรรค แกนนำรัฐบาลบางคนคัดค้านการตั้ง ส.ส.เป็นกรรมาธิการ เพื่อตรวจสอบการใช้จ่ายงบมหาศาล ซึ่งในที่สุดก็คือเงินของประชาชน

...

เหตุผลของการคัดค้านอ้างว่าไม่จำเป็น เพราะมีหน่วยราชการที่น่าเชื่อถือกลั่นกรองอยู่แล้ว เช่น สภาพัฒน์ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลังในระดับพื้นที่มีคณะกรรมการนโยบายการบริหารจังหวัดในระดับประเทศ มีสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)

แต่ทำไมจึงไม่อยากให้ ส.ส.ซึ่งเป็นผู้แทนปวงชนร่วมตรวจสอบด้วย เพราะระบบการตรวจสอบในประเทศประชาธิปไตยที่จะเข้มแข็งและมีประสิทธิภาพจะต้องเป็นองค์กรที่เป็นอิสระ เช่น ส.ส เพราะไม่ได้มาจากการตั้งของผู้มีอำนาจใดๆไม่อยู่ในอาณัติ ความผูกมัด หรือความครอบงำใดๆตามรัฐธรรมนูญมาตรา 114.