พิธีกรรม 

พ.ร.ก.กู้เงินผ่าน

5 วันจากการอภิปราย พ.ร.ก.กู้เงินทั้ง 3 ฉบับผ่านการรับรองจากสภาผู้แทนฯเรียบร้อยไปแล้ว แม้ฝ่ายค้านจะย้ำคำด้วยท่วงทำนองไม่เห็นด้วย แต่เน้นย้ำอย่าโกงก็แล้วกัน

ยังไงเสียก็ไม่มีใครกล้าที่จะยกมือคัดค้าน เพราะมันไม่ต่างกับ “อ้อยเข้าปากช้าง” ไปแล้วก็ต้องเดินหน้ากันต่อไป เนื่องจากเงิน 6 แสนล้านนั้นเข้ากระเป๋าชาวบ้านไปแล้ว

ผิดกระบวนท่าคะแนนอาจจะตกน้ำได้

วงเงินกู้ที่แบ่งเป็น 2 ส่วน คือเยียวยาประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากโควิด-19 นั้นแจกจ่ายไปเกือบทั้งหมดแล้ว

เหลืออีกส่วน 4 แสนล้านนั่นแหละที่นำมาห้ำหั่นกัน

ประเด็นที่ขับเคลื่อนกันมากคือการเสนอให้มีการตั้ง กมธ. เพื่อตรวจสอบการใช้วงเงินจำนวนนี้ให้รัดกุมรอบคอบไม่โกงกิน ไม่นำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์

หวงแหนกันเหลือเกิน ปรากฏว่าได้แค่คิดแค่พูดกันเท่านั้น

สุดท้ายก็เท่านั้นเพราะรัฐบาลไม่เอาด้วย อ้างว่ามีกลโกงตรวจสอบที่มีประสิทธิภาพอยู่แล้ว ที่สำคัญก็คือเกรงว่าจะเกิดปัญหาในการบริหารจัดการ

ประเด็นนี้กินลึกไปถึงเรื่องการเมืองในพรรคร่วมรัฐบาลด้วย เพราะประชาธิปัตย์และภูมิใจไทยมี ส.ส.บางส่วนเข้าชื่อเพื่อเสนอญัตติ

จริงใจหรือหาคะแนนก็น่าจะรู้กันอยู่

เงินก้อนใหญ่อย่างนี้ในฐานะ ส.ส.ย่อมหมายถึงว่าสามารถนำไปหาคะแนนหาเสียงได้ เพราะรอบวงมันกว้างขวางไปทั้งประเทศ

ยิ่งเป้าหมายเพื่อกระจายเงินไปสู่รากหญ้า เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจโดยตรงใครก็อยากเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย

มันก็เป็นอย่างนี้แหละ...

จากนี้ไปรัฐบาลในฐานะที่จะต้องนำเงินไปใช้จ่ายจึงต้องรับผิดชอบเต็มๆ หากมีปัญหาทุจริตเกิดขึ้นก็หนีไม่พ้นที่จะต้องเจอปัญหาตามมา

...

ทุกวันนี้โลกโซเชียลก็เห็นกันอยู่แล้วว่า เล็ดลอดสายตาไปได้ยาก ไม่ว่าเรื่องเล็กๆน้อยๆก็ได้เจอดีแน่

ปัญหาที่มองข้ามไม่ได้ก็คือเงินกู้ก้อนนี้จะฟื้นฟูได้หรือไม่?

อนาคตประเทศคือคำตอบ...

อีกด้านหนึ่งการที่รัฐบาลผ่อนปรนมาตรการเฟส 3 เท่ากับเปิดช่องให้กิจการ-กิจกรรมกว้างขึ้น ถือว่าเป็นการก้าวไปอีกขั้นหนึ่ง

เหลือก็เรื่องใหญ่คือการเปิดโรงเรียนทั่วประเทศที่กำหนดล่วงหน้าเอาไว้แล้วคือวันที่ 1 ก.ค.63 ซึ่งเคยเกิดปัญหามาก่อนหน้านี้เมื่อมีข้อเสนอว่า ทำไมไม่รีบเปิดกลัวอะไรกันนักหนา

สุดท้ายก็จนด้วยเหตุผลเงียบกันไป

เหตุผลก็เพราะถ้ารีบเปิดเร็ว โดยยังไม่มีความพร้อมจริงๆ จะก่อให้เกิดปัญหาตามมา เพราะจะเสี่ยงต่อการแพร่กระจายได้ง่าย

ก่อนจะถึงวันนั้นจึงต้องเตรียมความพร้อมให้ดีที่สุด โดยเฉพาะกระทรวงศึกษาธิการจะนิ่งนอนใจไม่ได้เป็นอันขาด

เหลือเวลาอีกเกือบเดือนจึงต้องทำให้ทางโล่งจริงๆ

ปัญหาที่ผ่านมาเมื่อผ่านงานไปสู่หน่วยงานราชการที่รับผิดชอบอย่างเรื่องเงินเยียวยาที่ขาดการวางแผนเตรียมการที่ดีก็เลยยุ่งเป็นฝอยขัดหม้อ

หากงานนี้ผิดพลาดอีกล่ะก็ดูไม่จืดแน่!

“สายล่อฟ้า”