เปิด “เฟส 3”

เริ่มต้นดี ท้ายต้องดีด้วย

ที่สุดไทยก็ก้าวมาถึงจุดเปลี่ยนผ่านอีกขั้นหนึ่งหลังจากที่ประเมินแล้วว่าสามารถกุมสภาพและควบคุมโควิด-19 ได้ในระดับที่น่าพอใจ

การผ่อนปรนมาตรการต่างๆอย่างเป็นขั้นเป็นตอนจาก

ระยะที่ 1 ไปสู่ระยะที่ 2 และมาถึงเฟส 3 ที่เปิดกว้างมากขึ้น

พูดง่ายๆว่าไม่มีปัญหา ไม่มีติดเชื้อเพิ่มขึ้น

จะมีก็แค่ผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศที่ยังตรวจพบเป็นรายวัน แต่ก็เป็นส่วนน้อยเนื่องจากอยู่ในสถานกักตัวที่ดูแลอยู่แล้ว

ทุกมาตรการที่นำมาใช้นั้นได้รับการกลั่นกรองแล้วว่าเหมาะกับสถานการณ์ที่เป็นจริง และที่สำคัญได้รับความร่วมมือจากประชาชนและเจ้าของกิจการเป็นอย่างดี

นี่คือสำนึกสังคมหากมีพัฒนาที่ดีอย่างนี้ตลอดไป ไทยไปโลดแน่

พอหายทุกข์จากไวรัสแล้วความสัมพันธ์ในลักษณะนี้รักษาเอาไว้ให้ดี วันนี้ได้เห็นกันแล้วไม่ว่ายากดีมีจนแค่ไหนต่างก็ได้รับผลกระทบไม่ต่างกัน

ความโลภ เอารัดเอาเปรียบกัน แก่งแย่งชิงกำไร ทุจริตคอร์รัปชัน ชิงอำนาจชิงผลประโยชน์ล้วนทำร้ายประเทศอย่างเลือดเย็น

ไปไม่รอดสักราย...

การเปิดเฟส 3 ที่กว้างมากขึ้นส่งผลโดยตรงต่อระบบเศรษฐกิจประเทศอย่างแยกไม่ออก กิจการ-กิจกรรมต่างๆ เดินเครื่องที่จะช่วยให้การฟื้นฟูได้ง่ายเข้า ไม่ทรุดหนักจนเกินไป แม้มีตัวเลขที่ไม่ค่อยอยากรู้อยากฟังกันเท่าใดนัก เพราะมันรู้สึกร้ายๆในใจ

แต่มันคือความจริงที่จะต้องร่วมสู้กันต่อไป

เท่าที่ประมาณการต่อสถานการณ์ที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ “คน” ยังเป็นเหตุและปัจจัยสำคัญอันส่งผลต่อการแพร่กระจายของโควิด-19

การยึดกติกาสังคมที่วางกันเอาไว้แล้วและได้ผลอย่างชัดเจนจึงเป็นเรื่องที่จะต้องพึงปฏิบัติอย่างมีความรับผิดชอบ

...

เพื่อจะได้ใช้ชีวิตได้อย่างปกติ ปลอดโรคไปจนกว่าจะคิดค้น “วัคซีน” ที่มั่นใจกันได้ว่าจะสามารถป้องกันด้วยตัวเองได้

ที่ยังเหลืออยู่คือกิจการ-กิจกรรม ซึ่งมีความเสี่ยงสูงอยู่เนื่องจากมองทางการแพทย์แล้วเห็นว่ามีโอกาสที่จะติดเชื้อได้ง่ายและอาจจะลุกลามขึ้นมาอีกครั้ง

หากผ่านเฟสที่ 3 ไปได้อย่างดี เฟส 4 ก็ไม่ใช่เรื่องยาก

และนั่นก็ต้องวนกลับมาที่รัฐบาล เพราะมีอำนาจในการบังคับใช้มาตรการต่างๆด้วย พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งมีเสียงเรียกร้องให้ยกเลิกอันเนื่องมาจากจำกัดสิทธิเสรีภาพประชาชน

เมื่อรัฐเลือก “สุขภาพ” มาก่อน “เสรีภาพ” และสามารถพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าได้ผลสำริดโดยที่ประชาชนให้การสนับสนุนถือว่ามาถูกทาง

แม้จะมีเสียงคัดค้าน ถากถางเป็นรายวัน แต่ก็เป็นเพียงส่วนน้อยที่มิอาจทวนกระแสสังคมส่วนใหญ่ได้

แต่น่าจะถึงเวลาที่รัฐบาลจะต้องทิ้งแส้จากมือได้แล้ว

ความจำเป็นต่อการคงอำนาจจาก พ.ร.ก.ฉุกเฉินนั้นมีเหตุผลมีความจำเป็นเพื่อเป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการปัญหาแต่ก็ต้องผ่อนปรนเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม

ไม่ใช่ประมาทหรือไม่ประมาท แต่เป็นเรื่องที่ควรจะปล่อยให้ประชาชนได้ไปจัดการกันเองบ้าง หลังจากผ่านประสบการณ์ด้วยชีวิตกันมาแล้ว “รัฐ” เองด้วยแหละที่จะต้องปรับตัวเพื่อไปสู่วิถีใหม่

คงตอบคำถามได้แล้วว่า “นักการเมือง” นั้นคืออะไร?

“สายล่อฟ้า”