"พิชัย” จี้ “บิ๊กตู่” ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน อย่าอ้างโควิด-19 เพื่อควบอำนาจ ห่วง ใช้เงิน 4 แสนล้าน เอาใจ ส.ส.เพื่อรักษาตำแหน่ง แนะ ต้องมีวิสัยทัศน์ลงทุนตามกระแสโลกในอนาคต

วันที่ 10 พ.ค. นายพิชัย นริพทะพันธุ์  อดีต รมว.พลังงาน กล่าวว่า ตามที่มีสื่อหลักของญี่ปุ่น นิเคอิ เอเชียน รีวิว วิจารณ์รัฐบาลในประเทศอาเซียน โดยเฉพาะรัฐบาลไทยโดยระบุไปที่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ว่า มีการใช้ข้ออ้างการระบาดของไวรัสโควิด-19 เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในการควบรวมอำนาจของตนเอง และใช้กีดกันสิทธิเสรีภาพของประชาชนและฝ่ายค้าน ดังนั้นในสถานการณ์ที่การระบาดของไวรัสดีขึ้นตามลำดับ จึงควรที่รัฐบาลจะต้องยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ได้แล้ว และควรจะต้องเริ่มผ่อนคลายให้มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากขึ้น

ทั้งนี้ ที่ผ่านมา ต้องขอชื่นชมความสามารถของบุคลากรทางการแพทย์ของประเทศไทย ที่ทำให้ไทยควบคุมการแพร่ระบาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ใช่เพราะ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่อย่างไร ความจริงคือ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน กลับเป็นอุปสรรคสำหรับประชาชนในการทำมาหากิน และปัญหาในการเดินทางกลับบ้านของประชาชนจำนวนมาก และ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ยังใช้ข่มขู่ประชาชนโดยเฉพาะกลุ่มนักศึกษาไม่ให้แสดงความคิดเห็น โดยเฉพาะเรื่องความไม่พอใจในการบริหารประเทศที่ล้มเหลวของรัฐบาลมาตลอด 5 ปีกว่านี้

นอกจากนี้ สื่อหลักญี่ปุ่นยังวิจารณ์รัฐบาลไทยในการใช้เงินจำนวนมากกว่า 58,000 เหรียญ (1.9 ล้านล้านบาท) ว่า จะเป็นการแจกเพื่อหาเสียงให้กับตัวเอง อย่างไรก็ดี เงินที่ใช้เยียวยาประชาชนที่เดือดร้อนถือเป็นความจำเป็นที่ต้องดำเนินการ แม้กระนั้น การเยียวยาของรัฐบาลยังมีปัญหาความไม่ทั่วถึง คนลำบากจำนวนมากไม่ได้รับการเยียวยา แต่เงินกู้อีก 400,000 ล้านบาท ที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ประกาศว่า จะไปใช้ฟื้นเกษตรกรและฐานราก เกรงว่า จะเป็นเบี้ยหัวแตก และจะไปซ้ำซ้อนกับโครงการเดิมที่แต่ละกระทรวงมีแผนงานอยู่แล้ว สุดท้ายห่วงว่าจะกลายเป็นการนำเงินกู้ก้อนมหาศาลดังกล่าว ไปใช้เพื่อเอาใจ ส.ส. ฝ่ายรัฐบาลโดยเฉพาะ ส.ส. ของพรรคพลังประชารัฐ เพื่อรักษาตำแหน่งของตนและพวกพ้อง ที่กำลังมีปัญหาความไม่พอใจของ ส.ส. จำนวนมากใน พปชร. ที่ต้องการเปลี่ยน นายอุตตม สาวนายน และ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ออกจากหัวหน้าพรรค และ เลขาธิการพรรค เพื่อให้เปลี่ยนออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี ซึ่งจะรวมไปถึงการจะปลด นายสมคิด ออกจากตำแหน่งด้วยจากผลงานการบริหารเศรษฐกิจที่ล้มเหลว ดังนั้น จึงอยากให้ มีการใช้เงินเพื่อพัฒนาประเทศอย่างแท้จริง ไม่ใช่เป็นการใช้เพื่อรักษาตำแหน่ง เพราะจะเสียเงินโดยไม่เกิดประโยชน์ และประชาชนทั้งประเทศจะต้องมาใช้หนี้ก้อนมหาศาลนี้แทน โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่ต้องมาแบกภาระอย่างหนักในอนาคต

...

อย่างไรก็ดี หากมองย้อนหลัง 5 ปี รัฐบาลได้ใช้งบประมาณจำนวนมหาศาล โดยอ้างว่าเพื่อช่วยเกษตรกรและฐานราก แต่ความเป็นอยู่ของเกษตรกรและฐานราก กลับไม่ได้ดีขึ้นเลย แถมยังแย่ลงอย่างมาก รายได้หดหายและคนจนกลับยิ่งเพิ่มมากขึ้น และที่พลเอกประยุทธ์ บอกเศรษฐกิจไทยจะแย่ไปอีก 9 เดือน ทั้งที่ความจริง คือ เศรษฐกิจไทยแย่มาตลอด 5 ปีกว่าแล้ว อีกทั้ง ไม่เคยปรากฏเลยว่า จะมีคนอดอยาก และ ฆ่าตัวตายกันอย่างมากเหมือนในปัจจุบัน และ อีก 9 เดือนก็ยังไม่เห็นว่า จะฟื้นได้อย่างไร ดังนั้นการใช้เงินอีก 4 แสนล้าน เพื่อเรื่องนี้ก็อาจจะไม่ได้ผลเหมือนที่รัฐบาลเคยทำมาแล้วตลอดหลายปี ซึ่งอาจจะกลายเป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำเหมือนโครงการเงินกู้ไทยเข้มแข็ง 4 แสนล้านบาท สมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัติย์ หรือ การเข้าช่วยการบินไทยทั้งที่โอกาสรอดทางธุรกิจมีน้อยมากหรือแทบไม่มีเลย

"สิ่งที่รัฐบาลควรทำคือ การต้องพัฒนาวิสัยทัศน์ให้เห็นว่าอนาคตของโลกจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรหลังวิกฤติไวรัส แล้วพัฒนาประเทศให้สอดคล้องกับอนาคตโดยมุ่งเน้นการปรับระบบราชการ การสร้างธุรกิจในแนวทางใหม่ และ การเพิ่มการจ้างงาน โดยที่การว่างงานของคนจำนวนมากประมาณ 7-10 ล้านคน จะเป็นปัญหาใหญ่ในอนาคต และรัฐบาลยังไม่มีแนวทางที่จะรับมือแต่อย่างไร" นายพิชัย กล่าว ....