“พิชัย” เห็นด้วย พปชร.ปลดทีมเศรษฐกิจ หนุน ต้องเอาออกทั้งขบวน สมคิด-อุตตม-สนธิรัตน์ ไปจนถึง "บิ๊กตู่" ด้วย สับแหลก ชี้ค่าไฟฟ้าแพง เพราะ กฟผ. ไปซื้อหุ้นเหมืองถ่านหินอินโดฯ ขาดทุนหมื่นล้าน
วันที่ 2 พ.ค. นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว. พลังงาน กล่าวว่า ตามที่มีกระแสความขัดแย้งกันในพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และต้องการจะเปลี่ยนหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารเพื่อจะเปลี่ยนทีมเศรษฐกิจของพรรค ซึ่งนับเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว และสมควรที่จะทำนานแล้ว ทั้งนี้ เพราะตลอด 5 ปีกว่าที่ผ่านมาทีมเศรษฐกิจชุดเดียวกันนี้ ได้ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในการบริหารเศรษฐกิจของไทย ทำให้ประชาชนเดือดร้อนกันอย่างมาก ตั้งแต่ก่อนที่จะมีการระบาดของไวรัสโควิด-19 แล้ว ยิ่งเมื่อเกิดการระบาดของไวรัส ยิ่งแสดงให้เห็นถึงความเปราะบางของเศรษฐกิจไทย ที่เกิดจากการบริหารที่ย่ำแย่มาอย่างยาวนาน จึงทำให้เห็นการทรุดตัวในทุกเสาหลักเศรษฐกิจอย่างชัดเจน ความล้มเหลวดังกล่าว ดร. วีรพงษ์ รามางกูร อดีตรองนายกรัฐมนตรี และ อดีต รมว. คลัง ถึงกับใช้คำว่าเป็นความ “โง่เขลา”
ดังนั้น จึงควรเร่งเปลี่ยนทีมเศรษฐกิจทั้งชุด โดยเฉพาะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจที่ชื่อ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ไล่มา นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี นายอุตตม สาวนายน รมว. คลัง และ นายสนธิรัตน์ สนธิจิราวงศ์ รมว. พลังงาน ตามลำดับ และเพื่อให้เห็นภาพชัดเจนจึงขอวิเคราะห์เป็นรายบุคคลดังนี้
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ต้องถูกเปลี่ยนคนแรก เพราะถูกหลอกให้มาเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ หลังการเลือกตั้ง โดยไม่ได้รู้เลยว่า เศรษฐกิจไทยจะย่ำแย่ ถ้ารู้ ก็คงฉลาดพอที่จะไม่รับ อีกทั้งไม่เคยแสดงว่า มีความรู้ในหลักการทางเศรษฐกิจเลย แต่พยายามโม้ว่า ตัวเองรู้เศรษฐกิจดี แต่พูดเรื่องเศรษฐกิจผิดหมด อาจจะเพราะคงถูกหลอกให้ข้อมูล แถมยังเคยพูดว่า น่าจะเอาเงินประกันสังคมที่มีจำนวนมากไปปล่อยกู้ ทั้งที่ขัดต่อข้อกฎหมาย ปัจจุบันเงินประกันสังคม ยังไม่ได้จ่ายให้กับประชาชนที่ตกงานเป็นจำนวนมาก คนเดือดร้อนทวงถามกันมาก แต่รัฐบาลไม่ยอมตอบว่า มีการนำไปปล่อยกู้จนเสียหายจริงหรือไม่ โดยหากพลเอกประยุทธ์ ยังคงเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจอยู่ เศรษฐกิจไทยจะไม่มีทางที่จะฟื้นได้
...
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ผลงานที่ประสบความสำเร็จเรื่องเดียว คือ การหลอกให้พลเอกประยุทธ์ มารับตำแหน่งหัวหน้าทีมเศรษฐกิจแทนตัวเองหลังการเลือกตั้ง โดยที่รู้ดีว่า เศรษฐกิจไทยจะย่ำแย่จึงรีบกระโดดออก ซึ่งถ้าหากยอมรับว่า ขาดความรู้ว่าเศรษฐกิจจะแย่ก็ยิ่งต้องควรรีบปลดออก โดยตลอด 5 ปี แม้จะเคยมีชื่อเสียง แต่กลับประสบความล้มเหลวในการบริหารเศรษฐกิจ จนทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำกว่าศักยภาพมาโดยตลอดตามคำยืนยันของเวิลด์แบงก์ก่อนหน้านี้เคยด่ารัฐบาลเดิมไว้อย่างไร ตัวเองกลับทำแย่กว่ามาก แถมยังชอบโกหกประชาชนไม่ได้ยึดหลักเศรษฐศาสตร์ที่แท้จริง ตามที่ ดร. วีรพงษ์ รามางกูร ได้วิจารณ์ไว้
นอกจากนี้ ยังเคยประกาศว่า คนจนจะหมดประเทศในปี 2561 แต่คนจนของไทยกลับเพิ่มขึ้นเกือบ 2 ล้านคน หรือ เพิ่มขึ้น 38% ตามที่เวิลด์แบงก์ยืนยัน นอกจากนี้ ยังทำเสียหายอย่างมากที่พูดถึง ไอเอ็มเอฟ พร้อมช่วยเหลือ ทำให้คนเข้าใจผิดกันหมดว่า ประเทศไทยกำลังจะล้มละลาย จึงทำให้ความน่าเชื่อถือลดลงจนแทบไม่มีเหลือ และล่าสุด ยังประกาศอุ้มการบินไทย 5 หมื่นล้านบาท ทั้งที่โอกาสรอดทางธุรกิจแทบจะไม่มีเลย เพราะขนาดช่วงปกติยังบริหารกันแย่จนขาดทุน อีกทั้งธุรกิจการบิน จะย่ำแย่ไปอีกนาน ขนาดบริษัทโบอิ้งยังต้องปลดคนงาน 16,000 คน ซึ่งทำให้ประชาชนสงสัยว่า เงินอัดฉีด 1.9 ล้านล้านบาท ที่จะช่วยประชาชนและสนับสนุนภาคธุรกิจ จะมีการนำเงินไปสนับสนุนธุรกิจที่กำลังจะเจ๊งอยู่แล้วจำนวนเท่าไร แล้วใครจะรับผิดชอบหากเกิดความเสียหายอย่างมาก
นายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรค พปชร. และ รมว. คลัง โดยในช่วงรัฐบาล คสช. เคยเป็น รมว. อุตสาหกรรม แต่ไม่มีใครจำผลงานได้ และอุตสาหกรรมของไทยกลับยิ่งล้าหลัง มีโรงงานต้องปิดตัวจำนวนหลายพันแห่ง พอมาเป็นหัวหน้าพรรค พปชร. และมาเป็น รมว. คลัง กลับยิ่งไม่มีแนวคิดอะไร มีแต่เรื่อง ชิมช้อปใช้ ที่พิสูจน์แล้วว่า เสียเงินเปล่าเพราะแจกเงินสะเปะสะปะ เช่นแจกให้ไปเที่ยวและแจกไปช็อปปิ้ง อย่างหละหลวม ทั้งที่ตนได้เคยเตือนแล้วว่าจะทำให้กระสุนหมดไปเปล่าๆ และควรเก็บไว้ใช้ตอนจำเป็น อย่างเช่นตอนนี้ที่ประชาชนลำบากกันอย่างมาก แต่นายอุตตม กลับแจกเงินคนที่กำลังลำบากอย่างยากเย็น นายอุตตม ยังคาดการณ์ผิดว่า มีคนเดือดร้อนเพียงแค่ 3 ล้านคน ที่ต่อมาต้องขยายไปเรื่อยๆ เป็น 9 ล้าน เป็น 14 ล้าน และเป็น 16 ล้านคน อีกทั้งระบบที่อ้างว่า เป็น Ai ยังบกพร่องคนลำบากจริงกลับไม่ได้รับการเยียวยา จนทำให้ประชาชนจำนวนมาก ไปบุกกระทรวงการคลัง แต่กลับถูกปิดประตูห้ามเข้า พอคนไปหลายวันติดกันจนเป็นข่าวด้านลบจึงคิดตั้งโต๊ะรับร้องเรียน
ทั้งนี้ ดร. วีรพงษ์ ยังพูดถึงนายอุตตมว่า ไม่เคยออกมาอธิบายด้านเศรษฐกิจเป็นเรื่องเป็นราวให้เข้าใจเลย นอกจากนี้ เวลามีผู้วิพากษ์วิจารณ์ทางเศรษฐกิจแทนที่นายอุตตม จะออกมาอธิบายตามหลักการเศรษฐศาสตร์ กลับส่งคนที่ไม่มีต้นทุนทางสังคมออกมาตอบโต้แบบมั่วๆ ยิ่งทำให้ภาพลักษณ์นายอุตตม ยิ่งเสื่อมลงเหมือนคนไม่เข้าใจเศรษฐกิจที่อธิบายเองไม่เป็น
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรค พปชร. และ รมว. พลังงาน โดยในช่วงรัฐบาล คสช. เคยเป็น รมว. พาณิชย์ แต่ตลอด 5 ปี การส่งออกไทยขยายตัวได้ต่ำมากเฉลี่ยเพียงปีละแค่ 2% เท่านั้น อีกทั้งราคาพืชผลเกษตรก็ตกต่ำมาโดยตลอด หลังเลือกตั้งได้เป็น รมว.พลังงาน ซึ่งนอกจากไม่มีผลงานอะไรแล้วยังทำประชาชนสับสน โดยประกาศจะยกเลิกน้ำมันเบนซิน E10 ที่ใช้ เอทานอลผสม 10% ทั้งหมด เพื่อให้มาใช้ น้ำมันเบนซิน E20 ที่ใช้เอทานอลผสม 20% ทั้งที่ ราคาเอทานอลแพงกว่าราคาน้ำมันถึงกว่า 4 เท่า โดยจะทำให้ต้นทุนน้ำมันแพงขึ้น แถมจะทำในภาวะที่แอลกอฮอล์ยังขาดแคลนอีกจนต้องเลื่อนไป ต่อมาถูกประชาชนตำหนิกันมากว่า รัฐบาลให้อยู่บ้านแต่ค่าไฟฟ้าแพงมากถึงจะคิดได้ว่าต้องลดค่าไฟฟ้า และทั้งที่ปัจจุบันมีการผลิตไฟฟ้าเกินความต้องการแล้วถึง 40% แต่ยังจะให้ใบอนุญาตไฟฟ้าเพิ่มอีก แถมยังให้ราคารับซื้อแพงกว่าปกติเกือบเท่าตัว ทั้งนี้ นายสนธิรัตน์ ควรไปตรวจสอบการทุจริตใน กฟผ. เรื่องการซื้อหุ้นเหมืองถ่านหินในประเทศอินโดนีเซีย มูลค่า 1.17 หมื่นล้านบาท ได้หุ้นเพียง 11-12% ที่ผมได้เคยคัดค้านไว้แล้ว ซึ่งตอนนี้น่าจะขาดทุนเกือบหมด เพราะโลกรังเกียจถ่านหิน และราคาถ่านหินตกลงมาก และเชื่อว่า ต้องมีผู้ได้รับผลประโยชน์จากการซื้อหุ้นนี้อย่างแน่นอน นอกจากนี้ ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกลดต่ำลงมาก ราคาในประเทศไทยควรต้องต่ำกว่านี้ โดยต้องลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันให้สอดคล้องกับราคาน้ำมันที่ลดลง เพื่อให้ประชาชนได้ใช้น้ำมันถูกลงอีก
"ดังนั้น การที่ พปชร.จะคิดปรับทีมเศรษฐกิจทั้งหมด คือ แนวทางที่ถูกต้องแล้ว เพราะทีมเศรษฐกิจ ของ พปชร. หมดความน่าเชื่อถือ และจะไม่สามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจให้กับประเทศได้ และจะยิ่งทำให้ความนิยมของ พปชร. เสื่อมลงเรื่อยๆ อีกทั้งในพรรคเองก็ได้ยินเสียงบ่นเสมอว่าหัวหน้าพรรคและเลขาฯ พรรคไม่เคยดูแลความเป็นอยู่ของ ส.ส. ในพรรคเลย ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงจึงเป็นเรื่องที่เหมาะสมสำหรับพรรคและสำหรับประเทศด้วย" นายพิชัย กล่าว...