ทะลุหลัก 3 ล้าน ตัวเลขรวมผู้ติดเชื้อ “โควิด-19” ทั่วโลก

ไวรัสมรณะยกระดับเป็นมหันตภัยร้ายแรงสุดในประวัติศาสตร์ของเหล่ามวลมนุษยชาติ

โอกาสและความหวังเดียวของคนทุกชาติทุกภาษาอยู่ที่ “วัคซีน” ป้องกัน สกัดกั้นโรคระบาด ตามความคืบหน้าในการวิจัย ล่าสุดนายแพทย์สก็อตต์ ก็อตต์ลิเอ็บ ผู้เชี่ยวชาญ อดีตประธานคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐอเมริกา (เอฟดีเอ) เปิดเผยว่า ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงหรือเดือนกันยายนถึงเดือนธันวาคมปลายปีนี้ จะมีวัคซีนต้านเชื้อโควิด–19 จำนวนหลายล้านโดสที่พร้อมสำหรับการทดลองในมนุษย์

มาถึงจุดที่หุ้นทั่วโลกขึ้นลงตามข่าว “วัคซีน” สยบโควิด

ตามรูปการณ์ประเทศไทยได้รับการจัดเครดิตอยู่ในเบอร์ต้นๆของโลก ตามมาตรฐานในการรับมือการระบาดของไวรัสอันตรายได้อย่างมีประสิทธิภาพและทรงประสิทธิผล

จนกดตัวเลขผู้ติดเชื้ออยู่ในหลักต่ำสิบติดต่อกัน 4-5 วัน ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา

นั่นทำให้ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ในฐานะผู้อำนวยการ ศบค.ได้รับการยอมรับในเชิงการบริหารจัดการภาวะวิกฤติไวรัสมรณะ

คนในประเทศเชื่อมั่น ต่างชาติเชื่อถือมาตรฐานการแพทย์ไทย

และมันก็คือน้ำหนักต้นทุนที่รองรับการตัดสินใจของ พล.อ.ประยุทธ์ในการพิจารณาประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินควบคุมวิกฤตการณ์โควิดต่อไปอีก 1 เดือน หลังจากที่ครบกำหนดในวันที่ 30 เมษายนที่ผ่านมา โดยเป็นไปตามที่ฝ่ายความมั่นคงและหน่วยงานด้านสาธารณสุขมีความเห็นตรงกัน

ผู้นำไทยเน้นให้ความสำคัญกับสาธารณสุขนำเศรษฐกิจ

แต่อีกมุมหนึ่งก็ต้องประคองชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน โดยที่ประชุม ครม.มีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอใช้ พ.ร.ก.กู้เงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 เพิ่มเป็น 16 ล้านราย วงเงินรวม 2.4 แสนล้านบาท และอนุมัติโครงการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ไม่เกิน 10 ล้านราย รายละ 5,000 บาท เป็นเวลา 3 เดือน รวมวงเงิน 1.5 แสนล้านบาท

...

ตามข้อมูลที่นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง เปิดเผยความคืบหน้ามาตรการเยียวยา 5,000 บาทให้ผู้ขาดรายได้ หลังดำเนินการมาครบ 1 เดือน มีจำนวนผู้ลงทะเบียน 28.8 ล้านราย มีผู้ที่เข้าข่ายได้รับสิทธิการชดเชยรายได้ตามหลักเกณฑ์ เยียวยา ประมาณ 16 ล้านราย โดยเป็นผู้ผ่านเกณฑ์แล้ว 10.6 ล้านราย

และได้โอนเงินเยียวยาให้แก่ผู้ได้รับสิทธิจำนวน 7.5 ล้านราย ส่วนที่เหลืออีก 2.6 ล้านราย จะเร่งโอนภายในสัปดาห์แรกของเดือนพฤษภาคมนี้ โดยกลุ่มนี้จะได้รับเงิน เยียวยาของรอบเมษายนด้วย รวมเป็น 2 เดือน

สำหรับกลุ่มที่ขอข้อมูลการประกอบอาชีพเพิ่มเติมอีก 1 ล้านราย และอีก 3.5 ล้านราย อยู่ระหว่างทีมผู้พิทักษ์สิทธิลงพื้นที่ตรวจสอบยืนยันตัวตามข้อมูลที่ลงทะเบียนไว้

ขุนคลังเร่งอุดปัญหาปากท้องตามสภาพต้องล่าช้าติดขัดบ้างเพราะไทยยังไม่มีระบบ big data

แต่จุดสำคัญมันอยู่ที่รัฐบาลไม่ได้ทอดทิ้งคนเผชิญชะตากรรม

ขณะที่ภาคธุรกิจก็มีการผ่อนมาตรการคลายล็อกให้ ธุรกิจบางส่วนใน 6 กลุ่มกิจการ อาทิ ตลาดสด ตลาดนัด ตลาดน้ำ ตลาดชุมชน ถนนคนเดิน แผงลอย ร้านจำหน่ายอาหารทั่วไปๆไม่เกิน 2 คูหา ร้านอาหารริมทาง รถเข็น หาบเร่ ร้านตัดผมเสริมสวย เฉพาะตัด สระ ไดร์ เปิดกิจการได้

ตามสภาพการณ์ที่เข้าใจได้ถึงความยากลำบากของฝ่ายบริหาร ในการถ่วงดุลน้ำหนักระหว่างการปล่อยให้เศรษฐกิจขยับ กับการเสี่ยงต่อวิกฤติโควิดเด้งกลับเหมือนประเทศสิงคโปร์ ญี่ปุ่น

ขณะเดียวกันก็เชื่อว่าประชาชนส่วนใหญ่ต่างอยู่ในอาการรักตัวกลัวตาย

ถึงจุดนี้คนไทยส่วนใหญ่คุ้นกับวิถีโควิดกับชีวิตประจำวันที่ใส่หน้ากากอนามัย พกเจลแอลกอฮอล์ติดมือ เว้นระยะห่างเพื่อความปลอดภัยจากการติดเชื้อ

ป้องกันตัวเองพร้อมรับผิดชอบต่อสังคม

เรื่องของเรื่อง ในอารมณ์ประชาชนคนไทยปรับตัวกับยุค “new normal” ชินกับวิถีความปกติในรูปแบบใหม่กันแล้ว แต่นักการเมืองไทยนั่นแหละที่ไม่ปรับพฤติกรรมตามอุบัติการณ์ใหม่ของโลก

ยังคงสาละวนอยู่กับ “old normal” วิถีปกติการเมืองโบราณ

ตามปรากฏการณ์ “แรงหน่วง” ปฏิกิริยาเสียดทานที่เกิดกับรัฐบาลในภาวะหน้าสิ่วหน้าขวาน การบริหารสถานการณ์ฉุกเฉินไวรัสมรณะระบาดยังไม่วายมีพวกเล่นเกมชิงอำนาจผลประโยชน์บนความเป็นความตาย

ดราม่าฟุ้ง น้ำเน่าเหม็นกระจาย

ไล่ตั้งแต่ยุทธการตีปี๊บ “รัฐบาลถังแตก-รัฐบาลขอทาน” เบิ้ลบลัฟไล่เจาะยางมาถึงการแจกเงิน 5 พันบาทที่รุมด่ากระทรวงการคลังชักช้าไม่ทันกาล พาลด่าระบบเอไอห่วยแตก ทำให้คนเดือดร้อน

ตามท้องเรื่องลากโยงกับปรากฏการณ์คน “ฆ่าตัวตาย” ถึงขั้นนักวิชาการอ้างงานวิจัยออกมารองรับ และพอดีกับเหตุสลดสาว รปภ.ผูกคอตาย โดยวาดรูป “บิ๊กตู่” ทิ้งข้อความตัดพ้อไว้ นั่นก็เลยเข้าเหลี่ยมฝ่ายค้าน พรรคเพื่อไทย ได้ทีย้ำปมกระหน่ำรัฐบาลจ่ายเงินเยียวยาช้า เป็นเหตุทำให้คนหมดหวัง คิดสั้น

“นายใหญ่” อย่างนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯรับเป็นเจ้าภาพสวดศพ

อารมณ์ประจานกระทรวงการคลังตกเป็นจำเลยทำคนฆ่าตัวตาย

ถ้าไม่บังเอิญมีข้อมูลจากทางการออกมายืนยัน รปภ.สาวคนดังกล่าวได้เงินเยียวยา 5 พันบาทไปแล้ว ตั้งแต่วันที่ 16 เมษายนที่ผ่านมา แต่สามีใหม่ไม่ได้บอก และญาติก็ยอมรับว่ามีปัญหาชีวิต

กลายเป็นความจริงอีกด้าน ที่เบรก “ดราม่า” ของฝ่ายค้าน

เรื่องของเรื่อง ลำพังทีมดูไบ แนวต้านรัฐบาลพอเข้าใจได้ ในสถานะคู่แข่งไม่มีทางปล่อยให้รัฐบาลของ “บิ๊กตู่” ได้เครดิตง่ายๆ โดยเฉพาะการแจกเงินเยียวยา 5 พันบาทที่เหมือน ขลุกขลักในตอนแรก แต่เมื่อเข้าระบบจ่ายเงินถึงมือประชาชนมากขึ้น กระแสเสียงโหวกเหวกโวยวายก็ดังลดลง

ยิ่งนานวันก็ยิ่งทำให้คนเข้าใจถึงความช่วยเหลือจากรัฐบาล ตัวเลขกลมๆ 16 ล้านคนที่อยู่ในข่าย

ในทางการเมืองมันคือการตุนคะแนนความนิยมให้ พล.อ.ประยุทธ์ได้เป็นกอบเป็นกำ รวมทั้งทีมงานเบื้องหลังอย่างนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ มือเศรษฐกิจ และ “ขุนคลัง” อย่างนายอุตตม สาวนายน

ตามวิสัยคนไทยรู้บุญคุณ จะจดจำชื่อผู้ที่ยื่นมือช่วยในยามเดือดร้อน

ขั้วตรงข้ามต้องเจาะยางกันตามฟอร์ม แต่ที่แสบกว่าก็คือพวกที่มาผิดคิว

ในจังหวะที่ดูเหมือนรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์กำลังกระชับการบริหารจัดการภาวะฉุกเฉิน เคลียร์โจทย์ยากระดับโลกได้เข้าร่องเข้ารอย ทั้งในมุมของการสกัดเชื้อโควิดได้ในวงจำกัด และมาตรการทางเศรษฐกิจที่มีแผนช่วยเหลือทุกภาคส่วนอย่างทั่วถึง ทั้งเฉพาะหน้าและระยะยาว

มันกลับมี “เชื้อเน่า” อาการแทรกซ้อนโผล่มาในพรรคพลังประชารัฐ

กับปฏิบัติการแห่ “พี่ใหญ่” หาม “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ในฐานะประธานที่ปรึกษาพรรค ตั้งท่า “หักดิบ” เสียบเก้าอี้หัวหน้าพรรค พปชร.แทนนายอุตตม

พ่วงออปชัน ยื่นโพยปรับ ครม.ให้ “บิ๊กตู่” ดำเนินการ

ภายใต้ทีมปฏิบัติการสายตรง “พี่ใหญ่” ทั้งนายวิรัช รัตนเศรษฐ ประธานวิปรัฐบาล “เสี่ยเฮ้ง” นายสุชาติ ชมกลิ่น ประธาน ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ และตัวละครเซอร์ไพรซ์คือนายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง ยังมีอีกหนึ่งที่ว่ากันว่าเป็นตัวจักรขับเคลื่อนสำคัญอย่าง “เสี่ยตั้น” นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ

เกมร้อนโผล่มาระอุในห้วงหน้าสิ่วหน้าขวาน นาทีความเป็นความตายของประชาชน

ภาพมันเลยออกมาในมุมคนในทีมหนุน “บิ๊กป้อม” ยังมีแก่ใจใช้เวลายามว่างกักตัวช่วงโควิด ฉวยจังหวะรัฐบาลกำลังทำงานกันแทบไม่ได้พัก หักดิบชิงอำนาจการนำพรรค

หาม “พี่ใหญ่” ยึดฐานการเมืองในค่ายพลังประชารัฐเป็นที่มั่นสุดท้าย

ไฟต์บังคับหลัง พล.อ.ประวิตรขาลอยจากกองทัพ เริ่มหลุดวงโคจรการบริหารใน ครม.

ผลมันก็เลยเป็นไปตามคาด กระแสตีกลับหน้าหงาย “ทัวร์ลง” จนใส่เกียร์ถอยแทบไม่ทัน อารมณ์แบบที่เบอร์หนึ่งอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ตัดบทเสียงเขียว “มันใช่เวลามั้ย”

ตอนนี้ต้องเร่งกู้วิกฤตการณ์โควิด ไม่มีเวลาคิดเรื่องการเมือง

ต้นเรื่องอย่าง พล.อ.ประวิตรต้องเบรกหัวทิ่ม ประกาศไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆใน พปชร.

ทีมแห่ “พี่ใหญ่” กลายเป็น “รถกฐินคว่ำ” เพราะการเล่นเกมอำนาจแบบไม่รู้กาลเทศะ ไม่เลือกเวลา นั่นไม่เท่ากับโพย ครม.ที่แนบมากับคิวยึดอำนาจพลังประชารัฐ “บิ๊กป้อม” จะนั่งรองนายกฯควบ มท.1 นายสันติจะขึ้นชั้นยึดตำแหน่งขุนคลัง นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โทรโข่งรัฐบาลได้อัปชั้น เป็น รมช.คลัง นายณัฏฐพลจะย้ายก้นมานั่ง รมว.พลังงาน นายสุชาติจะได้บำเหน็จเก้าอี้ รมว.การอุดมศึกษาฯ

สถาปนา “ครม.ในฝัน” เทียบกับภารกิจฟื้นประเทศไทยจากมหันตภัยโควิด

โจทย์ยากวิกฤตการณ์ระดับโลก แต่การเมืองไทยเขย่าโผ รัฐมนตรีชุด “สามล้อฮา ขี้ยาฮือ” ยั่วเสียงยี้

ท่ามกลางการจับจ้องขององค์การปราบคอร์รัปชัน ฝ่ายค้านขู่ฟ่อๆรายวัน กระแสดักคอ สถานการณ์กดดันทีม พล.อ.ประยุทธ์ใช้เงินกู้สู้โควิด 1 ล้านล้านบาทอย่างโปร่งใส

อย่าให้อีแร้งรุมทึ้ง ปลวกรุมแทะความมั่งคั่งในอดีตที่เมืองไทยสั่งสมมา

เห็นโพย ครม.โผล่มา “บิ๊กตู่” ไม่ผวาให้รู้ไป.

“ทีมการเมือง”