“เพื่อไทย” ลุยล่าชื่อ ส.ส.-ส.ว.ดันเปิดสภาฯวิสามัญ ถกหาทางดับวิกฤติชาติ “อนุดิษฐ์” แนะใช้เวทีสภาฯเป็นที่พึ่งหวังให้ประชาชน เตือนรัฐบาลต้องฟังเสียงนักศึกษาและประชาชนเรียกร้องแก้ รธน.เจ้าปัญหา “ไพบูลย์” ค้านสุดลิ่มอ้าง 500 ส.ส.-ครม. รวมตัว เสี่ยงแพร่เชื้อไวรัสโควิด-19 “ธนกร” ดักคออย่าแค่หลอกด่ารัฐบาล “นิกร” ชี้ กมธ.ศึกษาแก้ รธน.เด้งรับข้อเสนอ ครช. เอาด้วยลดอำนาจ ส.ว. เผย “พีระพันธุ์” รับประสานไฟเขียวแฟลชม็อบ “พิธา” ถือธงนำ 54 ชีวิตสมาชิกพรรคก้าวไกล สืบทอดอุดมการณ์ อนค.พาประเทศสู่ประชาธิปไตย นำคนสิ้นหวัง-ไร้อำนาจสู้กับสภางูเห่า “คารม” เคลียร์ใจลงตัวอยู่ต่อ

จากกรณีที่พรรคเพื่อไทยเรียกร้องให้มีการเปิดสมัยประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญ เพื่อหารือแนวทางแก้ปัญหาสำคัญของประเทศ ทั้งปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ภาวะเศรษฐกิจซบเซา รวมทั้งการเคลื่อนไหวของกลุ่มนักเรียนนักศึกษาที่เรียกร้องให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ปี 2560 ขณะที่ทางฝ่ายรัฐบาล โดยเฉพาะพรรคพลังประชารัฐยังคงไม่มีท่าทีตอบรับ

...

“อนุดิษฐ์” เตือน รบ.ต้องฟังเสียง ปชช.

เมื่อวันที่ 14 มี.ค. น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ในฐานะคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหาหลักเกณฑ์ และแนวทางการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2560 กล่าวถึงกรณีคณะรณรงค์เพื่อรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน (ครช.) และเครือข่าย People Go Network เครือข่ายนิสิต นักศึกษาจากหลายสถาบัน ยื่นหนังสือเสนอแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญต่อ กมธ.ว่า ประชาชนเห็นความบกพร่องและความไม่สมบูรณ์ของรัฐธรรมนูญปัจจุบัน โดย เฉพาะอย่างยิ่งรัฐธรรมนูญควรเป็นเครื่องมือสำคัญทำให้ประชาชนอยู่ดีกินดี มีความสุข มีความเท่าเทียมเข้าถึงโอกาส แต่กลับกลายเป็นปัญหาและอุปสรรคการดำรงชีวิตของประชาชน จึงไม่แปลกใจที่หลังประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ เศรษฐกิจในประเทศชะลอตัวตกต่ำมาเรื่อยๆ ประเด็นปากท้องยังไม่นับรวม ความไม่เป็นประชาธิปไตยของรัฐธรรมนูญ ที่ประชาชนรับทราบมาแล้วตั้งแต่ต้นว่าเป็นรัฐธรรมนูญจำกัดสิทธิเสรีภาพสืบทอดอำนาจ เน้นเฉพาะความมั่นคงของพวกพ้องผู้มีอำนาจ ประชาชนจึงตื่นตัวออกมาเรียกร้องให้แก้ไข ผู้เกี่ยวข้องควรรับฟัง นำข้อเสนอของประชาชนไปพิจารณาด่วน รัฐธรรมนูญเป็นของคนไทยทุกคนไม่ใช่ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ทุกความคิดเห็นจึงสำคัญไม่ได้มากน้อยไปกว่ากัน

ลุยล่าชื่อสมาชิกเปิดสภาฯวิสามัญ

น.อ.อนุดิษฐ์กล่าวอีกว่า ส่วนข้อเสนอขอเปิดสภาสมัยวิสามัญ เพื่อหารือแก้ปัญหาสำคัญของชาติ ต้องใช้เสียง 1 ใน 3 ของสมาชิกรัฐสภาฯ หรือ 246 คน กรณีนี้ผู้นำฝ่ายค้านจะขอความร่วมมือพรรคร่วมฝ่ายค้านเชื่อว่าไม่น่ามีปัญหา แต่รวมเสียงของฝ่ายค้านทั้งหมดยังไม่เพียงพอ สัปดาห์หน้าพรรคเพื่อไทยจะเดินหน้าเชิญชวน ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลและ ส.ว.ที่เห็นว่าขณะนี้ประเทศกำลังประสบปัญหาวิกฤติหลายเรื่อง โดยเฉพาะการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 และภัยแล้ง มั่นใจว่าญัตติของพรรคคงจะได้รับการสนับสนุนจากสมาชิกรัฐสภาทุกคน เพราะรัฐสภาคือที่พึ่งที่หวัง มีที่มาจากประชาชน เมื่อตัวแทนประชาชนมีโอกาสมาสะท้อนปัญหา ระดมสมองเสนอแนะวิธีในการแก้ไขปัญหาให้รัฐบาล เป็นประโยชน์กับประเทศ ถ้าใครไม่เห็นความสำคัญการใช้สภาฯ แก้ปัญหาเหมือนไม่เห็นความสำคัญของประชาชน

“ชวลิต” ขอคิดบวกร่วมกันแก้ปัญหา

นายชวลิต วิชยสุทธิ์ ส.ส.นครพนม พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ขอสนับสนุนนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่เสนอความเห็นขอเปิดสภาสมัยวิสามัญเพื่อระดมความเห็นสมาชิกรัฐสภาแก้ ปัญหาวิกฤติชาติ โดยเฉพาะปัญหาการระบาดของไวรัสโควิด-19 เชื่อว่า ส.ส.ทุกคนมีข้อมูล มีข้อเสนอแนะที่ดีต่อการแก้ปัญหาวิกฤติของชาติ โดยเฉพาะปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และปัญหาอื่นๆ การรับฟังความเห็นของ ส.ส.เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 123 รัฐบาลนำความคิดเห็นของ ส.ส.ตัวแทนประชาชนในแต่ละจังหวัดไปใช้แก้ปัญหาวิกฤติของชาติได้เป็นอย่างดี ขอให้คิดบวก อย่าคิดว่าเปิดวิสามัญเพื่อหลอกด่ารัฐบาล ไม่เป็นความจริง ในยามหน้าสิ่วหน้าขวานอย่างนี้ คนไทยต้องร่วมมือกันทุกภาคส่วน

“นพดล”ชงตั้งกองทุนพยุงชีวิตสู้พิษ ศก.

นายนพดล ปัทมะ อดีต รมว.ต่างประเทศ และ แกนนำพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงแนวคิดตั้งกองทุนสร้างเสถียรภาพทางตลาดทุน หรือ “กองทุนพยุงหุ้น” ของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ แก้ปัญหาความผันผวนในตลาดหุ้นว่า เนื่องจากมีปัญหาคนตกงาน เตะฝุ่นและดูดฝุ่น PM 2.5 ธุรกิจปิดกิจการ ซ้ำเติมด้วยการระบาดของไวรัสโควิด-19 หนี้สินลุกลามไปทั่ว จนมีคนฆ่าตัวตายไม่น้อย หลายกรณีถ้ามีมาตรการช่วยเหลือทางการเงินแบบทันท่วงที อาจช่วยชีวิตคนไทยที่หมดหนทางได้ จึงเสนอให้รัฐบาลตั้ง “กองทุนพยุงชีวิตจากพิษเศรษฐกิจ” และเปิดฮอตไลน์สายต่อชีวิตให้คำแนะนำ ปรึกษาและ ช่วยเหลือกรณีฉุกเฉินสำหรับผู้ที่ประสบปัญหาการเงินเข้าขั้นวิกฤติอาจนำไปสู่การฆ่าตัวตาย เพื่อแสดงว่ายังห่วงใยคนได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจ ชั้นแรกอาจจัดสรรงบฯตั้งกองทุน 10,000 ล้านบาท ดำเนินการตามกฎหมาย แม้ช่วยได้ไม่ทุกราย แต่ดีที่ได้ทำ ถ้าพยุงหุ้นได้ควรพยุงชีวิตพี่น้องที่ทุกข์ยาก

“ไพบูลย์” ค้านอ้างเสี่ยงแพร่เชื้อไวรัส

ขณะที่นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีพรรคเพื่อไทยจะเสนอญัตติเปิดสมัยประชุมวิสามัญของรัฐสภาเพื่อพิจารณาการแก้ไขปัญหาไวรัสโควิด-19 ภัยแล้ง ปัญหาเศรษฐกิจ การชุมนุมของนักศึกษาในประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า ตนคัดค้านเนื่องจากขณะนี้รัฐบาลอยู่ระหว่างปฏิบัติการป้องกันแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 โดยหนึ่งในมาตรการระยะเร่งด่วนของรัฐบาลขอความร่วมมือหลีกเลี่ยง หรือเลื่อนจัดกิจกรรมที่รวมตัวกันจำนวนมาก ดังนั้น ถ้าให้เปิดจะกลายเป็นการนำ ส.ส. 500 คน และ ครม.ไปร่วมประชุมที่เดียวกัน เสี่ยงแพร่เชื้อได้ และยังเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีต่อภาคส่วนอื่น กลายเป็นการฝ่าฝืนมาตรการ สื่อมวลชนและประชาชนทั้งประเทศได้ตื่นตัว แสดงความคิดเห็นไปให้รัฐบาลโดยตรงอยู่แล้ว รวมถึง ส.ส.สามารถเสนอความเห็นโดยตรงหรือผ่านสื่อมวลชนไปยังรัฐบาลได้เช่นกัน

พปชร.ไม่ไว้ใจดักคออย่าหลอกด่า รบ.

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีพรรคเพื่อไทยเตรียมขอเปิดประชุมสภาฯสมัยวิสามัญหารือแก้ปัญหาวิกฤติประเทศกับสถานการณ์โควิด-19 การชุมนุมนิสิตนักศึกษาว่า ขอบคุณที่เสนอมา ถ้าเจตนาบริสุทธิ์ทำเพื่อประชาชน เชื่อว่ารัฐบาลพร้อมสนับสนุนเต็มที่ แต่ถ้าเป็นเพียงข้ออ้างหวังใช้เป็นเวทีหลอกด่ารัฐบาลฟรีๆ คนเสียประโยชน์ที่สุดคือประชาชนรัฐบาลคงไม่ยอม

ส่วน ส.ส.อดีตพรรคอนาคตใหม่

ยุให้นิสิตนักศึกษาออกมาชุมนุมน่าผิดหวัง เท่ากับซ้ำเติมประเทศขณะประสบปัญหาโควิด-19 ไม่ใช่
เวลาจะขัดแย้งกัน ทางที่ดีเมื่อสภาฯเปิดพื้นที่ให้นักศึกษาเสนอข้อเรียกร้องต่างๆได้ น่าทำความเข้าใจ กันได้ เห็นด้วยที่ต้องเปิดพื้นที่ให้นักศึกษา ตราบใด ที่ไม่ได้ผิดกฎหมายหรือละเมิดสิทธิผู้อื่นทำได้

ผุดหลักสูตรติดเขี้ยวการเมืองให้ ส.ส.

นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พลังงาน ในฐานะเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เปิดเผยว่า วันที่ 15 มี.ค. พรรคจะประชุมสรุปการดำเนินมาตรการช่วยเหลือประชาชนจากผลกระทบเรื่องโควิด-19 นอกจากนี้อีกเรื่องที่สำคัญคือ จะหารือร่วมกับผู้เกี่ยวข้อง จัดทำหลักสูตรพัฒนาบุคลากรด้านการเมืองของพรรค คงไม่ถึงขั้นเรียกว่า โรงเรียนการเมืองของพรรค วัตถุประสงค์ต้องทำความเข้าใจก่อนว่าพรรคมี ส.ส.ใหม่เป็นจำนวนมาก เราจะพัฒนา ส.ส.ให้ทำงานการเมืองอย่างเข้าใจ อย่างบทบาทการทำหน้าที่ในสภาฯ หรือทำงานในพื้นที่ เป็นการพัฒนามีระบบการทำงาน พรรคไม่ได้ทำมาเลยหลังจากเลือกตั้ง จะเปิดโอกาสให้ ส.ส.และอดีตผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคเข้ามาอบรมวิทยากรจะคัดผู้มีประสบการณ์การทำงานทางการเมืองมา เช่น ได้เชิญนายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ มาให้ ความรู้หัวข้อรัฐธรรมนูญ เป็นต้น เพื่อให้เกิดความ เข้าใจถ่องแท้ จะจัดอบรมหลักสูตรสัปดาห์ละครั้งทุกวันพุธช่วงปิดสมัยประชุมสภาฯนี้ ใช้ช่วงเวลา 1 เดือนอบรม

“เทพไท” อ้าง มท.1 รับลูกสัญญาณดี

นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า คณะ กมธ.วิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหา หลักเกณฑ์ และแนวทางแก้ไขเพิ่มเติม รัฐธรรมนูญปี 2560 ได้เปิดรับฟังความคิดเห็นจากทุกกลุ่มทุกฝ่ายเต็มที่ เมื่อวันที่ 13 มี.ค. ได้รับข้อเสนอจากกลุ่มแฟลชม็อบและกลุ่มนักศึกษาที่อาคารรัฐสภาแล้ว กมธ.ชุดนี้มีเวลาทำงานถึงวันที่ 18 เม.ย. ก่อนนำข้อสรุปผลการศึกษาเสนอต่อที่ประชุมสภาฯเพื่อพิจารณาประเด็นปัญหาและแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้ต่อไป ส่วนท่าทีรัฐบาลเมื่อ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ยอมรับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ พร้อมจะรับฟังความคิดเห็นทุกกลุ่ม ถือเป็นสัญญาณที่ดีและเป็นโอกาสของการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ประสบความสำเร็จได้

กระทุ้ง ผบ.เหล่าทัพถอดหัวโขน ส.ว.

นายเทพไทกล่าวต่อว่า ส่วนกรณี ผบ.เหล่าทัพทั้ง 6 คน ประกาศคืนเงินเดือน ส.ว.ทั้งหมดให้กับสำนักงานวุฒิสภา ต้องขอชื่นชมและขอขอบคุณที่ได้เสียสละ ไม่รับเงินเดือนควบ 2 ตำแหน่ง เป็นสิทธิพิเศษกว่าบุคคลทั่วไป ถ้าเพื่อแสดงจุดยืนที่ชัดเจน ขอเรียกร้องให้ผู้บัญชาการเหล่าทัพทั้งหมด ยืนยันแสดงเจตนารมณ์ปฏิเสธการเข้าเป็น ส.ว.โดยตำแหน่ง เพื่อให้สอดคล้องกับหลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตย เป็นไปตามข้อเรียกร้องของหลายฝ่ายที่ต้องการแยกกองทัพออกจากการเมืองอย่างเด็ดขาด เป็นไปตามหลักประชาธิปไตยสากลที่ใช้ทั่วโลก

กมธ.แก้ รธน.เด้งรับข้อเสนอนักศึกษา

นายนิกร จำนง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคชาติไทยพัฒนา ในฐานะเลขานุการคณะอนุ กมธ.ศึกษาวิเคราะห์บทบัญญัติรัฐธรรมนูญ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญและกฎหมายอื่น ใน กมธ.วิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหา หลักเกณฑ์ และแนวทางการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 กล่าวว่าในเวทีรับฟังความเห็นนักศึกษา 45 สถาบันเมื่อวันที่ 13 มี.ค. หลายประเด็นที่นักศึกษาสะท้อนออกมา ไม่ใช่เรื่องเกินจริง หลายเรื่องทำได้จริงทางการเมือง และสอดคล้องกับสิ่งที่อนุ กมธ.พิจารณาไว้ด้วย ทั้งวิธีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่มานายกฯ ที่มาและอำนาจ ส.ว. ถือเป็นสิ่งที่น่าพอใจที่คนรุ่นใหม่แสดงความเห็นที่น่าชื่นชม

“นิกร” เอาด้วยลดอำนาจ ส.ว.

นายนิกรกล่าวว่า ส่วนเรื่องที่มานายกฯที่นักศึกษาเสนอว่าควรมาจากการเลือกตั้งและ ส.ว.ไม่ควรมีอำนาจโหวตเลือกนายกฯนั้น ความเห็นอนุ กมธ.เรื่องนี้มี 2 ส่วนคือ ส่วนแรกให้มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด กับส่วนที่สองให้มาจากการเลือกตั้งโดยอ้อม 200 คน แต่มีอำนาจเพียงแต่กลั่นกรองกฎหมาย ส่วนวิธีแก้รัฐธรรมนูญที่มีข้อเรียกร้องให้ตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) เพื่อรับฟังประชาชน ต้องยอมรับว่าภาพเก่าของ ส.ส.ร.เป็นสิ่งที่ผู้คนประทับใจ แม้แต่ฝ่ายการเมืองก็เห็นด้วย แต่ยังมีข้อถกเถียงว่าจะทำได้จริงเพียงใด เบื้องต้นอนุ กมธ.ยังไม่ได้มีข้อสรุป ในอนุ กมธ.มีความเห็นเป็น 3 แบบคือ 1.สนับสนุนให้มี ส.ส.ร. 2.สนับสนุนให้แก้เฉพาะจุดสำคัญเป็นหมวดไป ให้แก้ก่อนที่บทเฉพาะกาลจะสิ้นสุด 3.แก้เฉพาะจุดสำคัญเป็นหมวดๆ ให้มีผลหลังจากบทเฉพาะกาลสิ้นสุดไปแล้ว ยืนยันว่าทุกความเห็นที่นักศึกษาเสนอมาจะไม่มีส่วนใดตกหล่น จะรวบรวมบันทึกเป็นรายงานไว้อย่างละเอียด จะอยู่กับสภาฯตลอดไปเพื่อให้ ส.ส.นำมาใช้พูดเป็นปากเป็นเสียงแทนในสภาฯ

“พีระพันธุ์” รับปากดูแลแฟลชม็อบ

นายนิกรกล่าวอีกว่า ส่วนที่นักศึกษาจัดแฟลชม็อบและมีหน่วยงานรัฐไปกดดันครอบครัวทำให้มีความไม่สบายใจ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่ปรึกษานายกฯ ในฐานะประธาน กมธ.รับปากว่าจะไปประสานดูแลเรื่องนี้ให้ ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและ รมว.กลาโหม มีคำสั่งว่าห้ามไปกดดันนักศึกษาที่ออกมาแสดงออก กมธ.จึงเป็นกลไกที่จะรับเรื่องนี้ไว้เพื่อการแก้ไขต่อไป

“พิธา” นำ ส.ส.สมัครสมาชิก “ก้าวไกล”

เมื่อเวลา 09.00 น. ที่ศูนย์ประสานงานฝั่งธนบุรี อดีตพรรคอนาคตใหม่ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ อดีตพรรคอนาคตใหม่ นำกลุ่ม ส.ส.อดีตพรรคอนาคตใหม่ เข้าสมัครสมาชิกพรรคก้าวไกล พร้อมร่วมประชุมใหญ่วิสามัญ ขณะที่สมาชิกและกรรมการบริหารพรรคก้าวไกลชุดเดิม ได้เข้ามาร่วมประชุมในวันนี้ด้วยเช่นกัน โดยบรรยากาศการรับสมัครสมาชิกพรรคก้าวไกลเป็นไปอย่างคึกคัก มีประชาชนมาให้กำลังใจและรอสมัครสมาชิกพรรคจำนวนมาก

นายพิธากล่าวว่า วันนี้มี ส.ส.อดีตพรรคอนาคตใหม่สมัครสมาชิกกันเกือบครบยกเว้น ส.ส.บางคนที่ต้องกักตัว เพื่อเฝ้าระวังอาการโรคโควิด-19 เนื่องจากเดินทางไปต่างประเทศ ยอมรับว่านายจุลพันธ์ โนนศรีชัย ส.ส.บัญชีรายชื่อ ย้ายไปสมัครสมาชิกพรรคชาติไทยพัฒนาแล้ว

“คารม” พลิกอยู่ต่อหลังเคลียร์ใจ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายคารม พลพรกลาง ส.ส.บัญชีรายชื่อ ที่ก่อนหน้านี้ออกจากไลน์กลุ่มทุกกลุ่มเนื่องจากไม่พอใจถึงโครงสร้างพรรคใหม่ที่ไม่ให้ความสำคัญกับภาคอีสาน ได้เดินทางมาสมัครสมาชิกพรรคก้าวไกลด้วย โดยเป็นการสมัครสมาชิกแบบตลอดชีพ นายคารมให้สัมภาษณ์ว่าที่ตัดสินใจมาสมัครสมาชิกพรรคเมื่อวันที่ 14 มี.ค. เนื่องจากเมื่อคืนวันที่ 13 มี.ค. ได้พูดคุยปัญหากับแกนนำของพรรคแล้ว โดยแกนนำพรรคยอมรับข้อเสนอและจะนำไปปรับปรุงโดยเฉพาะนโยบายที่เกี่ยวกับภาคอีสาน โดยรับปากจะให้ความสำคัญกับภาคอีสานมากขึ้นเพราะเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ ส่วนที่มีการพาดพิงนายพิธาก่อนหน้านี้มีการพูดคุยกับนายพิธาแล้ว ตนมั่นใจในความสามารถในการที่จะนำพาพรรคไปต่อ จึงตัดสินใจกลับมาอยู่กับพรรค

ยันไม่ใช่งูเห่าฝากเลี้ยงลั่นรู้คุณคน

นายคารมกล่าวอีกว่า ยืนยันตนไม่ใช่งูเห่าฝากเลี้ยงตามที่ถูกกล่าวหา เพราะเป็นคนรู้บุญคุณคน การออกมาแสดงความเห็นไม่ได้ต้องการต่อรองตำแหน่งในโครงสร้างพรรคใหม่ ที่ผ่านมายังไม่เคยพูดว่าจะตัดสินใจย้ายพรรค เพราะส่วนตัวยังยึดถือความเป็นพี่เป็นน้อง ความเหมาะสมและความผูกพัน เพราะพรรคไม่ได้อยู่กันด้วยเงิน เเต่หากอยู่กันด้วยเงินคงไปนานแล้ว เพราะมีหลายพรรคชักชวนให้ไปอยู่ด้วย และข่าวที่ออกมาตนไม่ได้เป็นคนให้ข่าวแต่หลุดออกมาจากกลุ่มไลน์ ส.ส. ส่วนตัวไม่ได้โทษใคร เพราะให้เกียรติซึ่งกันและกัน

“โรม” ชวนสมาชิกสานต่องาน อนค.

นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ กล่าวว่า ในฐานะ ส.ส.อดีตพรรคอนาคตใหม่แล้ว ความสำคัญของการไปต่อในนามของพรรคก้าวไกล คือสานงานต่อจากสิ่งที่เราได้ทำไว้ในพรรคอนาคตใหม่ สิ่งที่เราได้ทำไว้ล้วนแต่เป็นเพราะเราต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลงของประเทศ การเดินมาด้วยกันในพรรคก้าวไกล คือการทำงานสานปณิธานของอดีตพรรคอนาคตใหม่ต่อไปข้างหน้า ดังนั้นจึงอยากเชิญชวนประชาชนที่ยังเชื่อว่าการปักธงประชาธิปไตย การปฏิรูปกองทัพ การต่อต้านทุนผูกขาดเป็นเรื่องสำคัญ มาสมัครสมาชิกพรรคก้าวไกล เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงร่วมกันต่อไป

ไม่พลิกโผ “พิธา” หน.ชัยธวัช” เลขาฯ

ต่อมาเวลา 12.00 น. มีการประชุมใหญ่วิสามัญพรรคก้าวไกล โดยที่ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์เลือกนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ เป็นหัวหน้าพรรค นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรค นายณกรณ์พงศ์ ศุภนิมิตตระกูล นายทะเบียนพรรค น.ส.ณธีภัสร์ กุลเศรษฐสิทธิ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ เหรัญญิกพรรค นายปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส.พิษณุโลก กรรมการบริหารพรรคสัดส่วนภาคเหนือ นายสมชาย ฝั่งชลจิตร ส.ส.บัญชีรายชื่อ กรรมการบริหารสัดส่วนภาคใต้ น.ส.เบญจา แสงจันทร์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ กรรมการบริหารสัดส่วนภาคตะวันออก นายอภิชาติ ศิริสุนทร ส.ส.บัญชีรายชื่อ กรรมการบริหารสัดส่วนภาคอีสาน นางอมรัตน์ โชคปมิตกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ กรรมการบริหารพรรคภาคกลาง นายสุเทพ อู่อ้น ส.ส.บัญชีรายชื่อ เป็นกรรมการบริหารสัดส่วนปีกแรงงาน และนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ เป็นโฆษกพรรค น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคฝ่ายนโยบาย นายพิจารณ์ เชาว–พัฒนวงศ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคฝ่ายกิจการสภาฯ นายณัฐวุฒิ บัวประทุม ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคฝ่ายกฎหมาย และ พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคฝ่ายการเมืองและกิจการพิเศษ

สืบทอดอุดมการณ์พา ปท.คืน ปชต.

จากนั้นเวลา 14.30 น. นายพิธาแถลงแสดงวิสัยทัศน์ว่า เป็นเวลา 23 วันที่พรรคอนาคตใหม่ถูกทำให้หายไปจากการเมืองไทย ส.ส.อย่างพวกเราต้องไร้สังกัดพรรค เราได้ย้ายสู่บ้านใหม่อย่างเป็นทางการ ต้องขอขอบคุณสมาชิก ส.ส.และผู้สนับสนุนทุกคนที่ไว้วางใจให้ตนเป็นหัวหน้าพรรค วันที่ 14 มี.ค.63 บันทึกไว้ว่าพรรคก้าวไกลและพวกเราผู้รักความเป็นธรรม เชื่อมั่นในระบบประชาธิปไตย จะเริ่มขีดเขียนบทร่วมกันในบทที่สองกับพรรคก้าวไกล สืบทอดเจตนารมณ์ อุดมการณ์และจิตวิญญาณจากอดีตพรรคอนาคตใหม่ เดินหน้าทำการเมืองอย่างสร้างสรรค์

เป็นปากเสียงคนสิ้นหวัง-ไร้อำนาจ

“เราจะยังคงเป็นความหวังให้คนที่สิ้นหวังในประเทศนี้ จะขอเป็นปากเสียงให้กับคนที่ไร้อำนาจในสังคม เราจะไม่ใช่พรรคชั่วคราว แต่จะเป็นสถาบันทางการเมืองที่จะพาประเทศไทยกลับไปสู่ความเป็นประชาธิปไตย เรายึดมั่นและพร้อมต่อสู้เพื่อพาประเทศ เปลี่ยนผ่านไปสู่ระบอบประชาธิปไตย ยุติระบอบรัฐประหาร และสถาปนานิติรัฐที่ประชาชนทุกคนมีความเท่าเทียม เรายังยึดมั่นในนโยบาย สามฐานราก แปดเสาหลัก หนึ่งปักธงประชาธิปไตย เพื่อสร้างประเทศ และคนไทยให้ก้าวหน้าอย่างเท่าเทียมกัน” นายพิธากล่าว

เดินตามนโยบาย อนค.สู้สภางูเห่า

นายพิธากล่าวอีกว่า วันนี้ประเทศไทยอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์เรากำลังเผชิญวิกฤติรอบด้าน และแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลปัจจุบันไม่มีศักยภาพจะนำพาประเทศให้เดินต่อไปได้ พาคนทั้งชาติลงเหว วิกฤติการเมืองเกิดจากรัฐธรรมนูญที่สืบอำนาจจาก คสช. ใช้ ส.ว.แต่งตั้ง 250 คนเป็นฐานรักษาอำนาจ ออกแบบระบบเลือกตั้ง ไม่ให้มีพรรคไหนมีเสียงเกินกึ่งหนึ่ง เป็นเหตุผลให้พรรคก้าวไกลต้องเดินตามนโยบายของอดีตพรรคอนาคตใหม่ คือการแก้ไขปัญหาโครงสร้างมากกว่าการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า แน่นอนว่าเรายังคงเดินหน้าการร่าง พ.ร.บ.ยกเลิกประกาศคำสั่ง คสช. 17 ฉบับ ร่าง พ.ร.บ.ยกเลิกการเกณฑ์ทหาร เดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 ยกเลิก ส.ว.แต่งตั้ง ยกเลิกยุทธศาสตร์ 20 ปี และแก้ไขที่มาองค์กรอิสระให้ยึดโยงกับประชาชนมากที่สุด ต้องปรับปรุงแก้ไขระบบรัฐสภาไม่ให้เป็นสภาฯตรายางให้รัฐบาล เดิมพรรคมี ส.ส. 81 คน ตอนนี้เหลือเพียง 54 คน จากสภาฯเสียงปริ่มน้ำ กลายเป็นสภางูเห่า สร้างความมั่นคงให้รัฐบาลในบรรยากาศมืดมิด แต่ยังมีแสงสว่างในปลายอุโมงค์พวกเราจะลุกขึ้นสู้

โชว์โลโก้หัวลูกศรสีส้มพุ่งสู่อนาคต

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า โลโก้พรรคก้าวไกลมีลักษณะเป็นหัวลูกศรสีส้ม หมายถึงหัวลูกศรที่พร้อมพุ่งไปยังเป้าหมายที่อยู่ข้างหน้า ส่วนสีส้มหมายถึงแสงสว่างแห่งรุ่งอรุณ คำว่า “ก้าวไกล” สื่อถึงการขับเคลื่อนไปข้างหน้าสู่อนาคต ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับ ส.ส.อดีตพรรคอนาคตใหม่ที่เดินทางมาสมัครสมาชิกพรรคก้าวไกลด้วยตัวเองจากทั้งหมด 55 คน มาสมัครแล้ว 50 คน ขาดไป 5 คน ประกอบด้วย 1.นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ส.ส.กทม. เพิ่งกลับมาจากฟิลิปปินส์ตัดสินใจกักตัวเอง 14 วัน เพื่อดูอาการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 2.นายกัญจน์พงศ์ จงสุทธนามณี ส.ส.บัญชีรายชื่อ ที่ป่วยมาร่วมประชุมไม่ได้ 3.นายองค์การ ชัยบุตร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ที่ใส่เฝือกขาทำกายภาพบำบัด 4.นายวินท์ สุธีรชัย ส.ส.บัญชีรายชื่อ ทั้ง 4 คนได้ฝากใบสมัครและชำระค่าสมาชิกพรรคตลอดชีพมาแล้ว และ 5.นายจุลพันธ์ โนนศรีชัย ส.ส.บัญชีรายชื่อ ที่ไปสมัครสมาชิกพรรคชาติไทยพัฒนาไปแล้ว

คนไม่ฟัง “บิ๊กตู่” ขาดข้อมูลไม่ตอบโจทย์

นายนพดล กรรณิกา ผอ.สำนักวิจัยซูเปอร์โพล เปิดเผยผลการสำรวจภาคสนาม เรื่อง “ทำไมคนไม่รับสิ่งที่นายกฯพูด” สอบถามประชาชนทุกอาชีพทั่วประเทศ 1,306 ตัวอย่าง เมื่อวันที่ 9-13 มี.ค.เมื่อถามถึงสาเหตุทำไมคนไม่รับสิ่งที่นายกฯพูด พบว่าส่วนใหญ่หรือร้อยละ 79.9 ระบุขาดข้อมูลที่ดีไม่ตอบโจทย์ประชาชน ร้อยละ 50.6 ไม่ถามประชาชนก่อน ร้อยละ 34.7 ทีมงานข้อมูล ทีมโฆษกรัฐบาลขัดแย้งกันภายใน ร้อยละ 5.2 อื่นๆ เช่น พูดเยอะหลายเรื่องสับสน ฟังไม่ชัด พูดเร็วรัวไป เป็นเพราะสื่อมวลชน เป็นต้น ที่น่าเป็นห่วงคือผลกระทบ จากทีมงานข้อมูล ทีมโฆษกรัฐบาลต่อภาพลักษณ์ของนายกฯ พบว่าร้อยละ 60.5 ระบุกระทบภาพลักษณ์ของนายกฯค่อนข้างมากถึงมากที่สุด ร้อยละ 39.5 กระทบค่อนข้างน้อยถึงไม่กระทบเลย ที่น่าพิจารณาส่วนใหญ่หรือร้อยละ 76.8 ระบุควรเปลี่ยนทีมงานข้อมูล ทีมโฆษกรัฐบาล ร้อยละ 23.2 ควรทำงานต่อไป เมื่อพิจารณาถึงความรู้สึกและความเห็นต่อนายกฯ พบว่าร้อยละ 31.8 สงสารนายกฯเหนื่อยแต่ควรทำงานต่อไป ร้อยละ 55.3 เห็นว่าควรปรับ ครม.ร้อยละ 12.9 ระบุอื่นๆ

ให้พักไมค์ทีมโฆษก รบ.ใช้ผู้เชี่ยวชาญ

นายนพดลกล่าวอีกว่า จากการเกาะติดกับความเห็นของประชาชนมาตลอดพบว่า ประชาชนส่วนใหญ่สับสนกับข้อมูลที่ซ้ำเติมความตื่นตระหนก ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ดังนั้นเพื่อดึงความเชื่อมั่นและวางใจต่อนายกฯ รัฐบาล ควรลดบทบาทของทีมงานโฆษกรัฐบาลลงในช่วงวิกฤติศรัทธาเวลานี้เพราะทีมงานโฆษกรัฐบาลไม่ใช่กลุ่มคนที่ประชาชนเชื่อถือ แต่ควรนำคณะบุคคลที่น่าเชื่อถือของประชาชนออกมาพูดแต่ละเรื่องที่ เชี่ยวชาญ พูดแล้วประชาชนวางใจ ทั้งเรื่องโควิด-19 ปัญหาภัยแล้งและปัญหาปากท้องของประชาชนไม่ควรเยอะแต่ทำเฉพาะเรื่องสำคัญ