กราบ อนุโมทนา สาธุ
ล่าสุดที่ประชุมคณะรัฐมนตรีรับทราบ ตามที่สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประทานเงิน 2 ล้านบาท เพื่อให้นำไปซื้อหน้ากากอนามัย นำไปแจกจ่ายให้พระสงฆ์ในวัดทั่วประเทศ โดยเน้นวัดที่มีนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก และรวมถึงแจกให้นักท่องเที่ยวด้วย
ประมุขศาสนจักรทรงห่วงใยสถานการณ์ระบาดไวรัสโควิด-19
สะท้อนว่า ทุกภาคส่วนกำลังตื่นตัวกับการป้องกันไวรัสมรณะ ไม่เว้นแม้แต่พระสงฆ์องค์เจ้า
ในขณะที่รัฐบาลก็เงอะๆงะๆ ท่ามกลางวิกฤติไวรัสโควิด-19 จ่อยกระดับความเสี่ยงระบาดรุนแรงระยะ 3 หรือ “Super Spreader” ติดต่อจากคนสู่คนภายในประเทศ ตามสถานการณ์ปัญหาแบบที่สมาคมโรงพยาบาลเอกชนส่งหนังสือร้องเรียนกระทรวงสาธารณสุข
ขาดแคลนหน้ากากอนามัยบุคลากรทางแพทย์ขั้นวิกฤติ เสี่ยงกระทบประชาชนในวงกว้าง
ขนาดหมอ โรงพยาบาลยังขาดแคลน นั่นก็ไม่ต้องพูดถึงประชาชนทั่วไปที่กำลังผวาเชื้อโรคร้าย ยังเจอซ้ำเติมด้วยภาวะขาดแคลนหน้ากากอนามัย รวมถึงเจลแอลกอฮอล์ หาซื้อตามท้องตลาดไม่ได้
แต่มันไปโผล่ขายกันในออนไลน์ กักตุน ฟันกำไรกันโจ๋งครึ่ม
โดยที่กระทรวงพาณิชย์ภายใต้การกำกับของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯและรมว.พาณิชย์ เดินสายตรวจโรงงานโชว์ ยืนยันประสิทธิภาพในการผลิตเพียงพอ แต่ของจริงชาวบ้านเข้าแถวรอต่อคิวยังหาซื้อไม่ได้ หนักเข้าก็เป็นนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและรมว.สาธารณสุข ที่โชว์ไอเดียแนะนำให้ชาวบ้านทำหน้ากากผ้าใช้เอง ดัดหลังพวกกักตุนสินค้า แก้ปัญหาหน้ากากอนามัยขาดแคลน
สุกเอาเผากินเฉพาะหน้า ไม่มีแผนรองรับภาวะฉุกเฉินอะไรเลย
ทั้งๆที่มันคือสถานการณ์ความเป็นความตายของประชาชนคนไทย
...
ในห้วงหน้าสิ่วหน้าขวาน แม้แต่หน้ากากอนามัย สินค้าจำเป็นพื้นฐานในการป้องกันโรคระบาด อุปกรณ์ป้องกันไวรัสโควิด-19 ในเบื้องต้น ยังมีไม่พอความต้องการของบุคลากรทางการแพทย์ตามโรงพยาบาล ที่สำคัญคือรองรับมาตรการให้ประชาชนป้องกันตัวเอง
ไม่อยากนึกภาพสถานการณ์ถึงจุดการระบาดลามหนัก
ตามมาตรฐาน นอกจากแอ็กชันโชว์ เล่นข่าว ชิงกระแสไปวันๆ ฝ่ายบริหารบ้านเมืองทำงานกันหลวมๆกลวงๆอย่างนี้ มันก็ไม่แปลกที่ชาวบ้านจะว้าเหว่ ระคนหวาดผวาไวรัสมรณะ
วิกฤตการณ์สะท้อน “กึ๋น” คนโดยแท้จริง
และมันยิ่งสะท้อนภาพรัฐบาลที่ขาดแคลนมือบริหารอาชีพ มีแต่พวกเก่งเล่นเกมการเมือง
สภาพการณ์ตามท้องเรื่องที่มีแรงกดดันให้ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ยกเครื่องปรับ ครม.หลังศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ
เกลี่ยโควตา แบ่งเค้ก กลุ่ม ก๊วน แก๊ง กันใหม่
แต่แค่เปิดชื่อ เปิดหน้าแคนดิเดตที่จ้องเสียบเก้าอี้ดนตรี ยั่วเสียงยี้กันทั้งบ้านทั้งเมือง
ในจังหวะต่อเนื่องกับเกมตีกันดักทาง ตามเงื่อนไขที่ “ขาใหญ่” พรรคร่วมรัฐบาล ปล่อยข่าวดักคอผู้นำอย่าง “บิ๊กตู่” ห้ามแตะต้องโควตาของพรรคร่วมรัฐบาล
ชูสูตรปรับ ครม.แบบพิสดาร แปลกใหม่ท่านั้นท่านี้
สรุปว่า ขีดวงให้ล่อกันนัวเฉพาะภายในพรรคพลังประชารัฐนั่นแหละ
ห้ามแตะต้องพรรคร่วมรัฐบาล ในเครื่องหมายคำถาม แล้วจะปรับไปทำไม
ในเมื่อคนรู้กันทั่วบ้านทั่วเมือง ความจำเป็นในการปรับ ครม.ก็เพื่อยกระดับการบริหาร สถานการณ์ที่รัฐบาล “ประยุทธ์ ภาค 2” เกิดอาการเครื่องสะดุดไปดื้อๆเมื่อเทียบ “ประยุทธ์ ภาคแรก”
ปัญหามันอยู่ตรงทีมเศรษฐกิจรัฐบาลผสมไปกันคนละทาง
พรรคร่วมรัฐบาลอย่างภูมิใจไทย ประชาธิปัตย์ ยึดกระทรวง
เกรดเอ ทั้งพาณิชย์ เกษตรฯ คมนาคม การท่องเที่ยวฯ ไปครอบครองอาณาจักรใครอาณาจักรมัน
ขับเคลื่อนได้ “ขาเดียว” โดยการอัดฉีดผ่านกระทรวงการคลัง ที่นายอุตตม สาวนายน ขุนคลัง หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ปั่นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมือเป็นระวิง
ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่เผชิญโคตรวิกฤติ สารพัดปัญหา
พัดถล่มต่อเนื่องเหมือนพายุ ไล่ตั้งแต่ดิจิทัลดิสรัป สงครามการค้า
ภัยแล้ง พ.ร.บ.งบประมาณติดหล่มล่าช้า มาซ้ำด้วยดาบสุดท้าย ไวรัสโควิด-19
ถ้าพื้นฐานเศรษฐกิจที่ “ประยุทธ์ ภาคแรก” ก่อไว้ไม่แข็งแกร่งจริง เอาไม่อยู่แล้ว
แนวโน้มมาสะดุดเพราะรัฐบาลผสมที่เน้นตัวเลขคณิตศาสตร์มากกว่าเชิงบริหาร
ถ้าแก้โจทย์นี้ไม่ได้ ปรับ ครม.ยังไง “บิ๊กตู่” ก็สอบตก
ภายใต้สภาวการณ์ล่อแหลม ถึงจุดนักศึกษาสุดทน ประชาชนไม่ให้ สอบซ่อม
รัฐบาลเสี่ยงโดนไล่ออกถอนยวง.
ทีมข่าวการเมือง