ย้อนรอย สหายแสง หรือครูแก้ว นายศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาฯคนที่สอง จาก อดีตเรือจ้าง สู่ผู้แทนลูกชาวนา เคยสู้หนีเข้าป่ามา 4 ปี ก่อนจะมีวันนี้ ปะทะคารม กับ วีรบุรุษนาแก พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์
นายศุภชัย โพธิ์สุ หรือที่รู้จักกันในชื่อ "ครูแก้ว" อดีต"สหายแสง" และยังเคยเป็นอดีต ส.ส.แชมป์หลายสมัย รวมถึง อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในยุครัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อปี 2552-2554 ปัจจุบัน มีตำแหน่งเป็น ส.ส.นครพนม เขต 1 พรรคภูมิใจไทย และยังได้รับตำแหน่ง รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 ในรัฐบาลปัจจุบัน ที่มีการร่วมรัฐบาลของ พรรคภูมิใจไทย กับ พรรคพลังประชารัฐ หลังเปิดศึกซักฟอกในการอภิปรายไม่ไว้วางใจของรัฐบาล ของพรรคฝ่ายค้าน เมื่อ 2-3 วัน ที่ผ่านมา ทำให้เกิดวิวาทะทางการเมือง ระหว่าง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวช หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย เจ้าของฉายา "วีรบุรุษนาแก" ที่มีผลงานการปราบปราม กลุ่มสหายดาวแดง หรือ พรรคคอมมิวนิสต์ ซึ่งมีการท้าชนในเกมการเมือง จนกระทั่ง นายศุภชัย โพธิ์สุ หรือที่รู้จักกันในชื่อ "ครูแก้ว" ในฐานะประธานการประชุมอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ประกาศตัวท้าชน ในฐานะอดีตสหายแสง ที่เคยต่อสู้เพื่ออุดมการณ์ทางการเมือง และเคยหนีเข้าป่า เรียกร้องประชาธิปไตย ตั้งแต่ปี 2519 ทำให้เป็นที่ฮือฮา และเป็นที่สนใจเกี่ยวกับเส้นทางการเมือง ของ ครูแก้ว หรือ สหายแสง ถือเป็นนักสู้ทางการเมือง ที่มีประวัติโชกโชน ต่อสู้บนเส้นทางการเมือง เพื่อประชาธิปไตย มาตั้งแต่เป็นนักศึกษา จนถึง ข้าราชการครู จนประสบความสำเร็จก้าวสู่เส้นทางชีวิตทางการเมือง เป็นผู้แทนขวัญใจชาวบ้าน ในสนามการเมือง มาหลายยุคหลายสมัย จนกระทั่งมาถึงรัฐบาลปัจจุบัน ได้นั่งตำแหน่ง รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2
...
นายศุภชัย โพธิ์สุ หรือที่รู้จักกันในชื่อ ครูแก้ว อดีตสหายแสง ปัจจุบันอายุ 62 ปี บ้านเกิดภูมิลำเนา อยู่บ้านแค ต.สามผง อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม พื้นฐานเป็น ลูกชาวไร่ชาวนา ครอบครัวยากจน ต้องดิ้นรนต่อสู้ชีวิตหาเช้ากินค่ำ แต่ไม่ทิ้งการศึกษา หลังจบ มศ.3 ในยุคนั้น จากโรงเรียนสหราษฎร์รังสฤษฏ์ อ.ศรีสงคราม และเป็นศิษย์รุ่น 10 ได้เข้ารับการศึกษาต่อ ที่วิทยาลัยครูสกลนคร หลักสูตร ปกศ.หรือ หลักสูตรการฝึกหัดครูและพัฒนาวิชาชีพครูในยุคนั้น แต่ด้วยอุดมการณ์ทางการเมือง และต้องการต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตย ในยุคสงครามประชาชน ของกลุ่มคอมมิวนิสต์ ประมาณปี 2519 จึงหยุดเรียนกลางคันตัดสินใจ เดินเข้าป่า เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยกับกลุ่มสหาย ดาวแดง ในพื้นที่ สีแดง อ.นาแก จ.นครพนม ใช้เวลาร่วม 4 ปี ไม่สำเร็จ จึงตัดสินใจออกจากป่า มาศึกษาต่อจนจบหลักสูตร และสามารถสอบบรรจุรับราชการครูได้ ประมาณ ปี 2524 แต่ยังไม่ละทิ้งอุดมการณ์ทางการเมือง นอกจากยึดอาชีพเรือจ้าง ครูบ้านนอก ยังเป็นแกนนำสมาพันธ์ประชาธิปไตย จ.นครพนม แกนนำครู มาโดยตลอด จนกระทั่งก้าวขึ้นสู่ครูใหญ่ ของโรงเรียนแห่งหนึ่ง ในพื้นที่ อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม เมื่อประมาณปี 2529
ต่อมาภายหลัง ปี 2535 เกิดเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ พลเอกสุจินดา คราประยูร เป็นนายกรัฐมนตรี ถูกขับไล่ เกิดการปะทะ ระหว่างทหาร ตำรวจ กับประชาชน จนเกิดการสูญเสีย ยุค รสช.สืบทอดอำนาจ เป็นที่มาของการ ประกาศลาออกจากการเป็นนายกรัฐมนตรี และนายอานันท์ ปันยารชุน ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง ก่อนการเลือกตั้งในเวลาต่อมา ทำให้ นายศุภชัย โพธิ์สุ หรือครูแก้ว สหายแสง ตัดสินใจลาออกจาก ข้าราชการครู เพื่อก้าวเข้าสู่เส้นทางการเมือง ในสังกัดพรรคพลังธรรม มี พลตรีจำลอง ศรีเมือง เป็นหัวหน้าพรรค ทาบทามครูแก้ว ลงสมัคร เขต 2 นครพนม เป็นครั้งแรก แต่สอบตก ได้อันดับ 3 จนกระทั่งปี 2537 มีการเลือกตั้งซ่อม กรณี นายทนง ศิริประชาพงษ์ หรือ ป.เป็ด อดีต ส.ส.ชื่อดัง นครพนม สังกัดพรรคชาติไทย ต้องคดีพ้นจากตำแหน่ง จึงมีการเลือกตั้งซ่อม 2535/2 ทำให้ พรรคราษฎร ในฐานะพรรคร่วมฝ่ายค้าน ได้คัดเลือกให้ นายศุภชัย โพธิ์สุ หรือครูแก้ว สหายแสง ลงสมัครชิง ส.ส. เป็นครั้ง ที่ 2 ในการเลือกตั้ง ซ่อม แต่สอบตกอีกครั้ง พ่าย ให้กับ นายแพทย์ประสงค์ บูรณ์พงศ์ อดีต ส.ส.แชมป์ตลอดกาล พรรคความหวังใหม่ ต่อมาเมื่อปี 2538 หลังพรรคพลังธรรมถูกยุบ จึงได้รับการชักชวน จาก พรรคประชาธิปัตย์ ลงสมัคร ส.ส.เป็นครั้งที่ 3 ซึ่งสอบตกอีก ได้อันดับ 4
จากนั้นหลังสอบตกถึง 3 ครั้ง ในการชิงตำแหน่งผู้แทน ไม่สมหวัง จึงหันมาสร้างฐานการเมืองท้องถิ่น ลงสมัคร ส.อบจ.นครพนม เขต อ.ศรีสงคราม ในช่วงปลายปี 2538 ได้รับการเลือกตั้ง ดำรงตำแหน่ง ยาวถึง 4 ปี จากนั้น ได้รับการทาบทามจาก พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ในนามพรรคความหวังใหม่ ลงชิงตำแหน่ง ส.ส.นครพนม เมื่อปี 2544 ประสบความสำเร็จ รับตำแหน่งด้วยคะแนนท่วมท้น จากชาวบ้านในพื้นที่ ก้าวสู่เส้นทางสนามการเมืองระดับชาติ
ต่อมาเมื่อปี 2545 ความหวังใหม่ ยุบรวม พรรคไทยรักไทย ยุค พ.ต.ท.ทักษิณ ชิณวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี จึงย้ายมาสังกัดพรรคไทยรักไทย และถูกยุบมาเป็นพลังประชาชน รวมเป็น ส.ส.ถึง 3 สมัย จนถึง ปี 2551 พรรคพลังประชาชน ถูกยุบ จึงย้ายไปสังกัดกับพรรคภูมิใจไทย จากการนำของ นายเนวิน ชิดชอบ ที่ก่อตั้งพรรค พร้อมได้รับตำแหน่ง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นั่งตำแหน่งตั้งแต่ปี 2552-2554 ในยุคของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นนายกรัฐมนตรี ท่ามกลางกระแสถูกโจมตีทางการเมือง กล่าวหาว่า ขายตัวเพื่อแลกตำแหน่ง และเป็นที่มาของการพ่ายแพ้ศึกเลือกตั้ง ในปี 2554 ให้กับผู้สมัครพรรคเพื่อไทย ท่าทมกลางกระแสความนิยม ของกลุ่มคนเสื้อแดง จนเกิดวิบากกรรมทางการเมือง สอบตกมาถึง 2 สมัย แต่ยังคงเดินหน้าต่อสู้ ลงพื้นที่พบปะชาวบ้าน รับทราบปัญหา แสดงออกถึงอุดมการณ์ทางการเมืองมาต่อเนื่อง รวมเกือบ 8 ปี ในยุคของการรัฐประหาร ของ คสช.โดยเน้นความใกล้ชิด เข้าถึงชาวบ้าน ในที่สุดได้มีโอกาสต่อสู้ชิงตำแหน่งอีกครั้ง ในการเลือกตั้งปี เมื่อปี 2562 ผลการเลือกตั้งชนะเกินความคาดหมาย สามารถล้มแชมป์เก่า ผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทยสำเร็จ ได้กลับมานั่งตำแหน่ง ส.ส.เขต 1 นครพนม พรรคภูมิใจไทย ด้วยคะแนนนิยมส่วนตัว ท่วมท้น ที่สำคัญหลังชนะการเลือกตั้ง ยังได้มีโอกาสร่วมงานกับพรรคฝ่ายรัฐบาลอีกรอบ คือ พลังประชารัฐ ที่ดึง พรรคภูมิใจไทย เข้าร่วมตั้งรัฐบาล จนทำให้ทางพรรคเสนอ นายศุภชัย โพธิ์สุ หรือครูแก้ว สหายแสง ไปนั่งเป็น รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 จนมีผลงานการ นั่งทำหน้าที่ประธานในการประชุมสภา รวมถึง ศึกอภิปรายซักฟอกรัฐบาลของพรรคฝ่ายค้าน จนเกิดวิวาทะ กับ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวช หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย เจ้าของ ฉายา วีรบุรุษนาแก ทำให้ ครูแก้ว ต้องประกาศตนให้รับรู้ว่า เป็นสหายแสง อดีตสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ หรือกลุ่มผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย มาก่อน และพร้อมที่จะชน กับ วีรบุรุษนาแก บนเส้นทางการเมือง อีกรอบ
ทั้งนี้ นายศุภชัย เจ้าของฉายาผู้แทนลูกชาวนา เปิดใจว่า ตลอดการทำงานการเมืองที่ผ่านมา ตนเดินทางบนเส้นทางนักสู้ มาตลอด พื้นฐานยากจน ลูกชาวไร่ชาวนา ต่อสู้กับความยากจน ปัญหาชีวิตเด็กบ้านนอก แต่ด้วยความมุ่งมั่นในอุดมการณ์ทางการเมือง ด้วยสายเลือดชาวไร่ชาวนา อยากมีส่วนร่วมในการต่อสู้ เพื่อชาวบ้านที่ลำบากยากเข็น ญาติพี่น้อง ที่เดือดร้อนจากปัญหาปากท้อง ทำให้เริ่มมุ่งมั่นตัดสินใจ เรียนต่อหลังจบ มศ.3 ในยุคนั้น และเข้าเรียนต่อ วิทยาลัยครูสกลนคร ในยุคนั้น ในหลักสูตรครู แต่เข้าไปเรียนไม่นาน ด้วยอุดมการณ์การเมือง ในช่วงบ้านเมืองเกิดความวุ่นวาย พฤษภาทมิฬ ราวปี 2519 จึงตัดสินใจเข้าป่า เพื่อร่วมกันต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตย ในยุคของคอมมิวนิสต์ อาศัยอยู่กิน ต่อสู้ในป่ายาวนานกว่า 4 ปี ฝึกการใช้ชีวิตบนนักสู้เพื่อประชาธิปไตย อยู่ตามป่าเขาสกลนคร รวมถึงเขต อ.นาแก แต่สุดท้าย มองว่า ไม่ใช่ทางออกที่ดี จึงออกจากป่า มาใช้ชีวิตปกติ เข้ารับการศึกษาต่อ จนในที่สุดจบการศึกษา สอบเข้ารีบราชการครู เป็นเรือจ้าง ดิ้นรนเลี้ยงครอบครัวมาตั้งแต่ปี 2524
นายศุภชัย กล่าวอีกว่า ในที่สุด มองว่า เส้นทางชีวิตเรือจ้าง ครูบ้านนอก ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง ก่อนตัดสินใจลาออกเข้าสู่สนามการเมือง ครั้งแรก ลงสมัคร ส.ส.พรรคพลังธรรม แต่สอบตก จนถูกทาบทามลงสมัคร ชิงตำแหน่งหลายพรรค มีพรรคราษฎร พรรคประชาธิปัตย์ รวม 3 ครั้ง สอบตกหมด และในที่สุด ด้วยอุดมการณ์ความมุ่งมั่น ที่อยากต่อสู้เพื่อประชาชน ในพื้นที่ ได้รับการดูแล ทั่วถึง ได้มีโอกาสลงสมัคร ส.ส.เป็น ครั้งที่ 4 ในนามพรรคความหวังใหม่ ประมาณปี 2544 ทำให้ได้มีโอกาสแสดงผลงานทางการเมือง การเป็นผู้แทน พัฒนา จ.นครพนม หลายด้าน จนกระทั่งได้มีโอกาสขึ้นตำแหน่งสูงสุด เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เมื่อปี 2552-2554 รวมทำงานในตำแหน่ง ประมาณ 2 ปี 3 เดือน ได้ใช้อุดมการณ์การเมือง ต่อสู้กับการถูกกล่าวหา ว่าขายตัวโยกย้ายพรรค มาตลอด แต่ไม่เคยท้อแท้ เพราะตนมองว่า สิ่งที่ตนย้ายพรรค เป็นความหวัง และเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนบ้านเมือง รวมถึงลดความขัดแย้ง ให้การพัฒนาเดินไปข้างหน้า ด้วยการยอมทิ้งอุดมการณ์แบบเก่าๆ ที่มาของความขัดแย้ง โดยไม่ได้หวังเรื่องผลประโยชน์ ทำหน้าที่สุดความสามารถ จนเมื่อถึงการเลือกตั้งปี 2554 ต้องลงสู้ศึกชิงกับพรรคที่ตนเอง ร่วมต่อสู้มา คือ เพื่อไทย และยอมรับในความพ่ายแพ้ มาถึง 2 สมัย แต่ยังคงมั่นใจว่า สักวันสิ่งที่ต่อสู้เพื่อชาวบ้านมาจะเป็นเครื่องพิสูจน์เอาชนะใจชาวบ้านได้อีกครั้ง ต้องยอมสู้กับวิบากกรรมทางการเมือง ต่อสู้เผด็จการ ยุครัฐประหาร คสช.มานานร่วม 8 ปี
"ในที่สุดฟ้าหลังฝน เอาความดี ความมุ่งมั่น ในการลงพื้นที่ ดูแลช่วยเหลือชาวบ้านมาเกือบ 8 ปี โดยไม่มีตำแหน่งทางการเมือง ได้เป็นเครื่องพิสูจน์ เอาชนะใจชาวบ้าน เรียกคะแนนนิยมจากชาวบ้านในพื้นที่คืน ทำให้ชนะกระแสพรรคเพื่อไทย เป็น ส.ส.คนเดียว ของพรรคภูมิใจไทย ที่ชนะการเลือกตั้ง จากทั้ง หมด 4 เขต ของ จ.นครพนม ได้รับการเลือกตั้ง เป็น ส.ส.เขต 1 นครพนม พรรคภูมิใจไทย มาถึงวันนี้ ตนผ่านเส้นทางต่อสู้มายาวนาน บนสนามการเมือง ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล รวมถึงเคยเป็นอดีตสหาย หรือนักต่อสู้เคลื่อนไหวการเมืองมา หลายยุคหลายสมัย ยอมรับภาคภูมิใจที่ได้เข้ามาเป็นตัวแทนชาวนครพนม ยืนยันว่า ไม่ว่าตนจะอยู่พรรคไหน ฝ่ายไหน ตนยังยึดมั่นในเรื่องของประชาธิปไตย และยังยืนเคียงข้างประชาธิปไตยเสมอ แต่ในการทำหน้าที่ บทบาททางการเมือง อาจจะแตกต่างกันไป สำคัญที่สุดตนอยากให้ ประเทศชาติบ้านเมือง เกิดความสามัคคี เกิดการพัฒนา และไม่เคยมีอคติกับพรรคฝ่ายค้าน หรือไม่ต้องการเป็นศัตรูกับใครในเส้นทางการเมือง แต่หากต่อสู้เพื่อประชาชน พร้อมจะเดินหน้าให้ถึงที่สุด ถึงแม้วันนี้ ตนจะเป็นเพียงคนเดียวที่เป็น ส.ส.พรรคภูมิใจไทย จาก ส.ส. ทั้ง หมด 4 เขต ของ จ.นครพนม ซึ่ง ส.ส.ที่เหลือ 3 เขต เป็น ส.ส.มาจากพรรคเพื่อไทย และอีก 1 คน เป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อมาจาก พรรคเสรีรวมไทย ที่เป็นฝ่ายค้าน แต่ตนได้มีการหารือพูดคุย วางแนวทาง เพื่อพัฒนาจังหวัดนครพนม เป็นที่ตั้ง และพร้อมจะรับฟังความคิดเห็นของ ส.ส.จากพรรคฝ่ายค้าน ของ จ.นครพนม ทุกเรื่อง หากเป็นความต้องการของชาวนครพนม ส่วนใหญ่ตนยินดีที่จะสนับสนุน ร่วมกับ ส.ส.ทุกพรรค ฝากถึงนักการเมืองทุกระดับ รวมถึง พี่น้องประชาชน สิ่งสำคัญที่สุดในการขับเคลื่อนประเทศไทย ณ วันนี้ ตนเชื่อมั่นว่า การลดความขัดแย้ง และช่วยกันขับเคลื่อนพัฒนาประเทศ ให้เดินหน้าเป็นทางออกที่ดีที่สุด" นายศุภชัย กล่าว...