“บิ๊กป้อม” นำประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ สั่งเพิ่มมาตรการแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ไฟเขียว 4 โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้ประชาชน

วันที่ 19 ก.พ. 2563 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กก.วล.) ครั้งที่ 2/2563 โดยมี นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รองประธาน นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรรมการและเลขานุการ ขณะที่ ดร.รวีวรรณ ภูริเดช เลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทำหน้าที่ฝ่ายเลขานุการ ซึ่งมีกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมการประชุม

โดยที่ประชุมได้มีการหารือเกี่ยวกับรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมหรือ EIA โครงการด้านอาคารพักอาศัยของการเคหะแห่งชาติ รวมจำนวน 3 โครงการ ได้แก่ โครงการอาคารเช่าสำหรับผู้มีรายได้น้อยจังหวัดภูเก็ต (กะทู้) และโครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง 2 โครงการ คือ โครงการอาคารพักอาศัยแปลง A และโครงการอาคารพักอาศัยแปลง D1 เพื่อเป็นการแก้ปัญหาที่อยู่อาศัยให้กับประชาชน ผู้มีรายได้น้อย สร้างโอกาส ลดความเหลื่อมล้ำ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น รวมถึงแก้ไขปัญหาความเสื่อมโทรมของพื้นที่และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ที่ดินให้ใช้ประโยชน์ได้อย่างหลากหลาย

สำหรับโครงการโรงไฟฟ้าวังน้อย (ทดแทนชุดที่ 1 - 2) ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เพื่อทดแทนโรงไฟฟ้าชุดที่ 1 และ 2 ที่จะถูกปลดออก เป็นโรงไฟฟ้าที่มีเทคโนโลยีที่ดีขึ้น มีขนาดกำลังการผลิตสูงขึ้นสามารถลดการปล่อยมลพิษได้น้อยลง และเป็นไปตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทยเพื่อสร้างความมั่งคงด้านไฟฟ้า ทั้งนี้ เจ้าของโครงการต้องดำเนินการตามมาตรการฯ ที่กำหนดในรายงานฯ อย่างเคร่งครัด พร้อมทั้งรับความเห็นของคณะกรรมการฯ ไปดำเนินการ และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีตามขั้นตอนต่อไป นอกจากนี้ คณะกรรมการฯ ยังได้รับทราบรายงานการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการในรายงาน การวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติบนบก เส้นที่ 5 ครั้งที่ 3 ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีการเปลี่ยนเส้นทางการวางท่อ เพื่อบรรเทาผลกระทบด้านจราจร รวมทั้งลดความขัดแย้งกับประชาชนในพื้นที่เดิม

...

อย่างไรก็ตาม ในที่ประชุมได้พิจารณามาตรการเพิ่มเติมแนวทางการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล และพื้นที่ภาคเหนือ 9 จังหวัด และจังหวัดที่มีปัญหาหมอกควัน ในประเด็นสำคัญๆ อาทิ เสนอให้สนับสนุนการใช้ระบบขนส่งสาธารณะ รถยนต์ไฟฟ้า หรือทางเลือกอื่นที่ไม่ก่อมลพิษ เช่น ทางจักรยาน ในช่วงที่มีปัญหาเรื่องมลพิษทางอากาศ อาจพิจารณาให้เจ้าหน้าที่รัฐสามารถปฏิบัติหน้าที่จากบ้านได้ พิจารณากำหนดมาตรการเยียวยาและบรรเทาทุกข์ผู้ประสบภัยจากมลพิษทางอากาศที่ได้ลงทะเบียนไว้กับศูนย์ หรือหน่วยงานให้ความช่วยเหลือของทางราชการ เข้มงวดการบังคับใช้กฎหมายกับรถที่มีควันดำและมลพิษ กำหนดค่าปรับรวมทั้งบทลงโทษรถยนต์ที่มีการถอด Catalytic Converter หรือ Diesel Particulate Filter (DPF) ออกจากยานพาหนะ จัดสร้างระบบ Citizen Watch ให้ประชาชนรายงานป้ายทะเบียนของรถยนต์ที่ปล่อยควันดำ และเป็นเงื่อนไขในการอนุญาตต่อทะเบียนรถยนต์ประจำปี มาตรการการควบคุมการใช้ยานพาหนะในพื้นที่กรุงเทพมหานครในช่วงวิกฤต โดยจะกำหนดประเภทรถ อายุรถ ช่วงเวลา และพื้นที่จะอนุญาตให้เข้า และการสนับสนุนให้ประชาชนใช้ระบบขนส่งสาธารณะทดแทน ควรห้ามเผาในพื้นที่เขตชุมชนเด็ดขาดซึ่งควรกำหนดพื้นที่ให้ชัดเจน ขอให้โรงงานอุตสาหกรรมลดหรือหยุดกำลังการผลิตในช่วงที่คาดว่าฝุ่น PM 2.5 มีค่าสูง.