ผ่านด่านสำคัญไปได้ โดยไม่เสียหายอะไรมาก
หลังจากศาลรัฐธรรมนูญลงมติเสียงข้างมาก มีคำวินิจฉัยชี้ขาดร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 วงเงิน 3.2 ล้านล้านบาท ไม่เป็นโมฆะทั้งฉบับ จากผลของการเสียบบัตรลงคะแนนแทนกัน
แค่ให้ไปลงมติใหม่ในวาระ 2–3 “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เป่าปากโล่งอก กฎหมายสำคัญยังได้ไปต่อ แค่เสียเวลากลับมาโหวตใหม่
ผิดกับพรรคอนาคตใหม่ที่ยังต้องลุ้นด่านอันตราย ในคดีที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดชี้ชะตาคดียุบพรรค กรณีเงินกู้ 191 ล้านบาท ในวันที่ 21 ก.พ.2563 ก่อนหน้าการเปิดศึกซักฟอกเพียงแค่ 3 วัน
ถ้าคำตอบสุดท้าย ค่ายสีส้มไม่ได้ไปต่อ ฝ่ายค้านคงอ่อนยวบในการอภิปราย
ขุมกำลังหลักอย่าง นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรค และ น.ส.พรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่ จะกระเด็นตกจากเก้าอี้ ส.ส.ทันที ในฐานะกรรมการบริหารพรรค หมดสิทธิช่วยทีมอีกต่อไป
ขณะที่ ส.ส.อนาคตใหม่คนอื่นๆ แม้จะยังไม่สิ้นสภาพ ส.ส. แต่ก็ต้องโร่หาต้นสังกัดใหม่ภายใน 30 วัน ขวัญกำลังใจคงกระเจิดกระเจิง หมดความฮึกเหิมในการอภิปราย
ยังไงก็กระทบแน่ๆต่อการซักฟอก 6 รัฐมนตรีในเที่ยวนี้
ที่ฉายหนังตัวอย่าง จั่วหัวญัตติซักฟอกด้วยถ้อยคำร้อนแรง “กร่าง–เถื่อน–เข้าข้างคนชั่ว” บอมบ์ใส่ “บิ๊กตู่” จนวิปรัฐบาลหัวร้อนบี้ให้ปรับถ้อยคำในญัตติ ฐานใช้ข้อความเท็จ ถึงขั้นขู่ประท้วงสร้างความวุ่นวายกันล่วงหน้า
ถึงเวลาฉายจริงน่าจะกร่อยลงไปเยอะ
ในสถานการณ์ที่ต้องยอมรับความจริงในขณะนี้ ฝ่ายค้านตกเป็นรองรัฐบาลหลายช่วงตัว ไพร่พลร่อยหรอลงไปเรื่อยๆ ล่าสุดพรรคเศรษฐกิจใหม่ก็สละเรือหนีตาย ขอออกจากการเป็นพรรคร่วมฝ่ายค้าน
...
ลอยแพ “มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์” ขาใหญ่ในทีมให้อยู่กับฝ่ายค้านต่อไปเพียงคนเดียว
จากที่เคยเบียดหายใจรดต้นคอรัฐบาลมีอยู่ 246 เสียง แต่ตอนนี้หายวูบเหลือไม่ถึง 240 เสียง
สวนทางกับฝ่ายรัฐบาลที่แต้มขยับเกิน 260 เสียง เลยจุดเสี่ยงเสียงปริ่มน้ำไปไกลแล้ว โอกาสที่ฝ่ายค้านจะโหวตชนะในการอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นไปไม่ได้ ถ้าฝ่ายรัฐบาลไม่หักหลังกันเอง
ในมุมที่รัฐบาลก็วางแผนมาชวนทะเลาะ ตั้งทีม “อ–ส–ว” เป็นองครักษ์พิทักษ์ “บิ๊กตู่” อย่างแน่นหนาประกอบด้วย ทีมประสานงานพรรคร่วมฯ ทีมเสิร์ฟข้อมูล และทีมดาวยั่วคอยทำลายจังหวะฝ่ายค้าน
ติวเข้มรับมือกันเต็มที่ แม้ “ลุงตู่” จะสะบักสะบอมหน่อย แต่คงเอาตัวรอดไปได้
แต่ช็อตสำคัญที่น่าห่วงหลังจากนี้คือ คิวปรับ ครม. ไฟต์บังคับให้ต้องแบ่งเค้กกันใหม่ หลังรัฐบาล “ลุงตู่” ทำงานครบ 6 เดือนแล้ว
ถึงเวลาเปลี่ยนตัวผู้เล่น หมดช่วงโปรโมชันที่ทนกลืนเลือดกันมาเพื่อจัดตั้งรัฐบาล
ตามหน้าฉากที่หลายกลุ่มรอทวงโควตา ตั้งแต่กลุ่มกิจสังคมใหม่ของ 4 พรรคเล็ก มี ส.ส.ในสังกัด 9 คน และกลุ่ม 10 พรรคเล็กเดิม แม้กระทั่งทีมมุ้งต่างๆ ภายในพรรคพลังประชารัฐก็จ้องตาเป็นมัน ทั้งกลุ่ม ส.ส.ภาคอีสาน ภาคใต้ คงได้กลับมาล้งเล้งเสียงดังอีกรอบ
เตรียมรอดูช็อตแสดงพลังของกลุ่มต่างๆที่จะทยอยออกมาหลังจากนี้ อย่างที่เห็น “กลุ่มสามมิตร” นำร่องเป็นตัวอย่างก่อน รุ่นใหญ่อย่าง “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์–สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ–สมศักดิ์ เทพสุทิน” พวกรุ่นเดอะขนลูกทีมกว่า 40 คน กินข้าวพบปะสังสรรค์ออกสื่อกันเอิกเกริก
ทางหนึ่งคือ ผนึกกำลังรับมือการอภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่อีกทางคือการโชว์แสนยานุภาพในกลุ่ม มีขุมกำลังมากพอที่จะต่อรองดำเนินการใดๆได้
หลังจากที่ รมต.ในสังกัด อาทิ นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม อยู่ในกลุ่มเสี่ยงถูกถอดออก ขณะที่บางคนอยู่ในกลุ่มจ่อคิวได้นั่งเก้าอี้ รมต. อาทิ “เสี่ยแฮงค์” นายอนุชา นาคาศัย ส.ส.ชัยนาท พรรคพลังประชารัฐ
สามมิตรโชว์พาว พลังเสียง ส.ส.ในมือ สร้างอำนาจต่อรองเพื่อรักษาเก้าอี้ เพิ่มเก้าอี้ หรือสลับเก้าอี้ ในห้วงที่การปรับ ครม.ทำท่าจะฝุ่นตลบในเร็วๆนี้
ตามแนวโน้มการแสดงพลังที่อาจไม่หยุดแค่กลุ่มสามมิตร เพราะคงมีกลุ่มอื่นๆในพลังประชารัฐออกมาทวงสัญญาใจ เรียกร้องคำมั่นที่เคยรับปากกันไว้
ก๊วนมุ้งต่างๆตั้งท่ารอแผลงฤทธิ์ โพย ครม.เตรียมถูกเขย่ากันอีกรอบ คนในยังไม่อยากออก แต่คนนอกรอต่อแถวเข้าคิวกันล้นหลาม.
ทีมข่าวการเมือง