ยังได้ไปต่อ...
หลังจากที่รอลุ้นกันว่าจะรอดหรือไม่รอดในคดีที่พรรคอนาคตใหม่ ถูกร้องว่ามีความผิดในคดีล้มล้างการปกครองประเทศ (อิลลูมินาติ)
ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยให้ “ยกคำร้อง” ทำให้อนาคตใหม่สามารถดำเนินการในความเป็นพรรคการเมืองได้ต่อไป
ชี้ว่า “ไม่ปรากฏข้อเท็จจริง เป็นเรื่องข้อห่วงใยมากกว่า” ...ไม่เข้าข่าย ม.49
ที่สำคัญก็คือคนทั่วไปไม่สามารถรู้สึกได้ทันทีว่าเป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข
แต่ศาลได้ชี้ว่า กกต.ในฐานะนายทะเบียนพรรคควรจะดำเนินการเรื่องนี้ต่อไปในการดำเนินการจดทะเบียนพรรคการเมืองที่จะต้องพิจารณาด้วยความรอบคอบให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมายด้วย
มิฉะนั้นจะเกิดปัญหาอย่างกรณีของพรรคอนาคตใหม่ได้
เป็นอันจบในคดีที่ถือว่าเป็นข้อหาร้ายแรงในทางการเมือง เพราะหมายถึงการล้มล้างพรรคการเมือง
ถือว่าด่านนี้ผ่านไปได้
แต่ยังเหลืออีกด่านหนึ่ง แม้จะไม่ใช่ข้อหาร้ายแรงอย่างคดีแรกแต่เป็นเรื่องการดำเนินการระหว่างพรรคกับหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่
คือ “กู้ยืมเงิน” ที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคได้ปล่อยเงินกู้ให้กับพรรคอนาคตใหม่ 191 ล้านบาท
กกต.ได้ยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย “ยุบพรรค” อนาคตใหม่ ซึ่งศาลได้รับวินิจฉัยและอยู่ในขั้นตอนการดำเนินการและให้อนาคตใหม่สามารถยื่นคำชี้แจงต่างๆได้ภายใน 15 วัน ต่างกับคดีอิลลูมินาติที่ศาลเห็นว่ามีข้อมูลพร้อมที่จะพิจารณาวินิจฉัยได้
จึงไม่ต้องยื่นคำชี้แจงแต่อย่างใด
คดีนี้ก็เป็นอีกบทเรียนหนึ่งสำหรับพรรคการเมืองและนักการเมืองที่จะต้องศึกษาข้อกฎหมายให้ชัดเจน
...
พูดง่ายๆก็คือต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมาย เพราะมิฉะนั้นแล้วจะเกิดปัญหาอย่างที่เกิดขึ้น เมื่อคิดจะเล่นการเมืองในระบบจะมาอ้างอย่างอื่นไม่ได้
หรือไปตีความเอง คิดเอง ว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้เข้าข้างตัวเองไม่ได้ เมื่อเกิดเรื่องเกิดราวขึ้นมาก็ไปโทษคนอื่น โทษว่าถูกกลั่นแกล้ง ไม่ได้รับความเป็นธรรม
ไม่ว่าจะเป็นการกระทำหรือคำพูดก็ตาม...
นั่นคือความรับผิดชอบเบื้องต้นที่ต้องพึงปฏิบัติ มิฉะนั้นก็จะเป็นภาระที่จะต้องไปตามเช็ดตามแก้ แทนที่จะนำเวลาอันมีค่าไปใช้ให้เป็นประโยชน์ในฐานะตัวแทนของประชาชน
จริงๆแล้วพรรคอนาคตใหม่นั้นมีบุคลากรที่เป็นคนรุ่นใหม่มีความรู้ มีความสามารถ มีแนวคิด และแนวทางที่จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อชาติบ้านเมืองได้เป็นอย่างดี
เรียกได้ว่าเหนือกว่าพรรคการเมือง นักการเมืองอื่นๆด้วยซ้ำไป
แต่เมื่อมุ่งไปสู่เรื่องการเมืองให้น้ำหนักมากกว่าเรื่องอื่นๆ ซึ่งไม่ใช่เป็นเรื่องผิดเพราะถือเป็น “อุดมการณ์” ที่ต้องยืนหยัด
ในความเป็นจริงทางการเมืองนั้น หากมุ่งไปด้านหนึ่งด้านใดมากเกินไป ก็ทำให้เสีย “สมดุล” ได้เช่นกัน
วันเดียวกันนั้นมีอีกคดี “ไร่ส้ม” ปรากฏว่าศาลฎีกาคดีทุจริตได้ตัดสินจำคุก “สรยุทธ สุทัศนะจินดา” อดีตพิธีกรเล่าข่าวชื่อดัง 6 ปี 24 เดือน
นี่ก็เป็นเรื่องของความโลภ โกรธ หลง...อนิจจังแห่งชีวิต.
“สายล่อฟ้า”