ขึงพืดการเมือง
สถานการณ์การเมืองเวลานี้ต้องบอกว่าเดินหน้าก็ไม่ได้ ถอยหลังก็ไม่ได้ นั่นย่อมทำให้การทำงานของรัฐบาลก็อยู่ในสภาพที่ไม่ต่างกันนัก
ยิ่งมีข่าวปล่อยเรื่อง “ยุบสภา” ก็ยิ่งไปกันใหญ่
ความเชื่อมั่น ความมั่นใจต่อรัฐบาลจึงน่าหวั่นไหวไปด้วย เพราะการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองย่อมมีผลต่อเศรษฐกิจและการลงทุนโดยตรง
พูดกันตรงๆก็คือแม้จะมีการยุบสภา แต่ผลที่ออกมาหลังการเลือกตั้งใหม่ก็ไม่แน่ใจว่าพรรคไหนจะเข้ามาบริหารประเทศ
ใครจะเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่?
ว่ากันด้วยสภาพความเป็นจริงการ “ยุบสภา” นั้นเป็นทางออกทางการเมืองอย่างหนึ่งเมื่อแก้ไขปัญหา หากรัฐบาลเดินเข้าสู่ “ทางตัน” ทางการเมือง
“ยุบสภา” นั้นหากเป็นรัฐบาลต่างประเทศจะใช้โอกาสนี้ เพื่อเพิ่มความมั่นคงให้กับรัฐบาลในอนาคตเมื่อมีเสียงสนับสนุนและตอบรับด้วยความพึงใจการบริหารประเทศ
รัฐบาลขาขึ้น เสียงดีก็จะใช้ความได้เปรียบตรงนี้ด้วยการยุบสภา เพราะมั่นใจว่าจะชนะเลือกตั้งได้กลับมาเป็นรัฐบาลด้วยเสียงสนับสนุนหนาแน่นขึ้นกว่าเดิม
แต่การเมืองประเทศไทยนั้นกลับตรงข้าม เอาปัจจุบันเป็นที่ตั้ง พยายามที่จะยืนระยะให้นานที่สุดในการบริหารประเทศ
หรือจะว่ากันตรงๆก็คือต้องการเป็นนายกฯเป็นรัฐบาลให้นานที่สุด ที่เห็นและเป็นอยู่ก็คือจนกว่าจะไปไม่รอด มีอาการร่อแร่ๆเหลือทางสุดท้ายจึงจำเป็นที่จะต้องตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่ง
นักการเมืองไทยไม่ชอบการ “ลาออก” อันเป็นสปิริตทางการเมือง อย่างหนึ่ง แต่เมื่อนายกฯ ถึง “ตาอับ” ไปได้ไม่สุดถึงจะยุบสภา
...
คือล้มกระดานไปเริ่มต้นกันใหม่เมื่อกูไปไม่รอดพวกคุณก็ต้องไปพร้อมกัน
ข่าวปล่อยเรื่องการ “ยุบสภา” นั้น แม้นายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริง ไม่เคยคิดแต่อย่างใด
เป้าหมายก็เพื่อทำให้เห็นว่ารัฐบาลกำลังสั่นไหว ไปไม่รอดเพื่อให้น้ำหนักในการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจมีความหมายมากขึ้น
จะพูดว่าแค่ฝ่ายค้านจะเปิดซักฟอกเท่านั้นแหละ...ก็กลัวจนหัวหดแล้ว
จึงหาทางออกด้วยการยุบสภาเพื่อหนีการซักฟอก หรือบวกด้วยข่าวว่าบรรดารัฐมนตรีพยายามที่จะ “ล็อบบี้” ฝ่ายค้านขออย่าให้มีชื่อเป็น 1 ในจำนวนรายชื่อที่จะถูกซักฟอก
ว่าไปแล้วจากการบริหารประเทศมา 5-6 เดือนที่ผ่านมาถือว่ายังทำงานได้น้อยมาก จึงไม่น่าจะมีข้อมูลมากพอที่จะเล่นงานให้อยู่หมัดได้
ทว่าการตัดสินใจเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ จึงน่าจะมีเหตุจูงใจทางการเมืองเป็นเป้าหมายหลักมากกว่า
เปลี่ยนขั้ว เปลี่ยนคน เปลี่ยนฝ่ายมากกว่า
เหตุที่ชวนให้สงสัยพอที่จะทำให้เห็นร่องรอยนี้ได้ก็คือความขัดแย้งในฝ่ายค้านด้วยกันว่าจะเปิดซักฟอกรัฐมนตรีคนไหนบ้าง
“บิ๊กป้อม”...คือตัวละครตัวหนึ่งที่ทีมงานหลักของเพื่อไทยเห็นว่าไม่ควรจะเปิดอภิปรายด้วยการอ้างเหตุผลข้างๆคูๆกันไป
แต่อีกฝ่ายเห็นว่าควรซักฟอกเพราะมีข้อมูลเพียบ
รู้กันดีว่าในรัฐบาลนั้น บุคคลที่มีอำนาจสูงสุดตัวจริงเสียงจริงก็คือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หากสร้างความสั่นสะเทือนได้ก็หมายถึงการนับถอยหลังอย่างแน่นอน
อย่างนี้มีหรือฝ่ายค้านจะไม่รู้ จึงเป็นเงื่อนงำชวนให้สงสัยว่ากำลังเล่นอะไรกันอยู่.
“สายล่อฟ้า”