12 กับ 21 ตัวเลขร้อนๆที่สอดคล้องกันโดยบังเอิญ
12 มกราคม อีเวนต์การเมืองแรกประเดิมศักราช กับยุทธการ “วิ่ง ไล่ ลุง” ที่ “ไพร่ห้าพันล้าน” นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ กับ “น้องช่อ” พรรณิการ์ วานิช โฆษกค่ายสีส้ม เลิกกั๊กเลิกเม้ม
เปิดหน้าโชว์ตัวเป็นโต้โผใหญ่กำกับเวที “เชียร์แขก” เรียกกองเชียร์ด้วยตัวเอง
ปั่นเรตติ้ง “วิ่ง ไล่ ลุง” กระหึ่มโซเชียลมีเดีย ชิงพื้นที่ข่าว โพลคึกคัก
และในจังหวะที่ล้อกันกับสถานการณ์ที่สวนทางตามปรากฏการณ์ ณ วันที่ 21 มกราคม ดีเดย์ลุ้นระทึกศาลรัฐธรรมนูญนัดพิพากษาคดียุบพรรคอนาคตใหม่จากการถูกร้องว่ามีแนวคิดและเจตนาล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เข้าข่ายขบวนการ “อิลลูมินาติ”
และที่น่าจะตามมาติดๆกันกับปมล้มล้างการปกครอง ค่ายสีส้มยังต้องลุ้นเหนื่อยหนักกว่ากับปมที่นายธนาธรให้พรรคกู้เงิน 191 ล้านใช้ในการเลือกตั้งใหญ่ ไม่ได้จัดอยู่ในรายได้พรรค ตามรัฐธรรมนูญ
หลักฐานโต้งๆอยู่ในบัญชีทรัพย์สินที่ “ไพร่ห้าพันล้าน” แจ้งต่อ ป.ป.ช.
ตามรูปการณ์ที่คอการเมือง “เก็งหวย” ศาลรัฐธรรมนูญที่ส่อแม่นพอๆกับศาลพ่อปู่ “คำชะโนด”
อนาคตใหม่ส่ออนาคตหมด ไม่น่ารอดสันดอน
และโดยเงื่อนไขสถานการณ์ยุบอาณาจักรของ “ไพร่ห้าพันล้าน” ที่โยงกับเกมแห่ม็อบสีส้ม ยุทธการล้มเดิมพันอำนาจไม่น่าจะจบแค่อีเวนต์ “วิ่ง ไล่ ลุง” แน่
ตามสัญญาณตีธง “ธนาธร” ประกาศชัด ลากม็อบลงถนน เป้าหมายของทีมอนาคตใหม่หวังอีเวนต์ “วิ่ง ไล่ ลุง” จุดกระแสไล่ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและ รมว.กลาโหม ลามทั่วประเทศ
...
เล่นกับจริตและอารมณ์สังคมไทยเบื่อง่าย ชอบอะไรแบบเอามัน สะใจ
โดยไม่ได้คิดว่าปั่นกระแสม็อบขึ้นไปแล้ว จะเอาลงอย่างไร
ขณะที่ฝ่ายที่เชียร์ “นายกฯลุงตู่” ก็พร้อมออกมาชน เสี่ยงม็อบปะทะม็อบ
แต่ที่ไม่สนอะไร ตามสไตล์นักการเมืองพันธุ์เก่าที่มุ่งอยู่กับผลประโยชน์ตัวเอง พรรคประชาธิปัตย์ พรรคเพื่อไทย จ้องรื้อรัฐธรรมนูญเพื่อเวนคืนเส้นทางสู่อำนาจจาก คสช. สุมเชื้อชนวนราดน้ำมันใส่ไฟ
และในจังหวะมะรุมมะตุ้ม ไม่รู้รัฐบาลจะไปต่อได้กี่น้ำ ตามวิสัยของนักการเมืองอาชีพต้องรีบฉวยโอกาสคอร์รัปชัน หาช่องโกงถอนทุนเลือกตั้ง
จุดเสี่ยงรัฐบาลผสมจะก่อเชื้อบาดทะยักเป็นแผลกดทับซ้ำรัฐบาล
สุดท้ายก็ไหลเข้าเหลี่ยม ทหารเตรียมพร้อม “แอ่นแอ๊น” สยบวุ่นวาย
และนั่นก็จะเป็นจุด “วอดวาย” ถึงขั้นใช้คำว่า “ฉิบหายวายป่วง” ได้ บ้านเมืองที่สงบปลอดม็อบป่วนเมือง เศรษฐกิจที่ลากพ้นปากเหวมา 4-5 ปี มาเกิดวิกฤติม็อบการเมืองฉุดกลับลงเหว ในภาวะเศรษฐกิจระส่ำทั่วโลก สงครามการค้าสหรัฐอเมริกากับจีน ชนวนสงครามสหรัฐฯกับอิหร่าน ผสมยุคดิจิทัลดิสรัปชัน
รอบนี้เศรษฐกิจไทยเจ๊งกู่ไม่กลับแน่
ฉาก “เดจาวู” วนกลับมาหลอนซ้ำ วัดใจผู้คนส่วนใหญ่ในสังคม
ในสถานการณ์ยังเบรกอารมณ์ทัน แค่นิมิตเห็นฝันร้ายตรงหน้า
ที่แน่ๆรัฐบาลก็ไม่ได้นิ่งงอมืองอเท้ารับชะตา
สถานการณ์อย่างที่เห็นตั้งแต่ก่อนปีใหม่และหลังเปิดทำการปีใหม่ พล.อ.ประยุทธ์ได้เรียกนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ กับนายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง เข้าหารือถึงการรับมือสถานการณ์เศรษฐกิจ ก่อนผุดมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอี
ขณะที่ปัญหาภัยแล้งฉุกเฉินที่แทรกคิวด่วนเฉพาะหน้า ถึงขั้นที่น้ำประปาเริ่มมีปัญหา
“บิ๊กตู่” ก็รีบกระโดดเป็นผู้บัญชาการแก้ปัญหา “ภัยแล้ง” ด้วยตัวเอง
ขณะเดียวกันก็มีความเห็นจากมือเศรษฐกิจอย่าง “ดร.โกร่ง” นายวีรพงษ์ รามางกูร อดีตขุนคลังยุครัฐบาล “ป๋าเปรม” สะท้อนมุมมอง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คือต้นเหตุหลักขวางการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ เพราะค่าบาทแข็งทำลายศักยภาพการส่งออกที่เป็นเครื่องยนต์หลักทางเศรษฐกิจของประเทศไทย
นั่นหมายถึง ปมปัญหาเศรษฐกิจไม่ได้อยู่ในศักยภาพที่รัฐบาลคอนโทรลได้ทั้งหมด
และต้องไม่ลืม “จุดแข็ง” ของทีม “บิ๊กตู่” และ “สมคิด” จากรัฐบาล “ประยุทธ์ 1” ถึง “ประยุทธ์ 2”
มันคือการบล็อกคอร์รัปชัน เมกะโปรเจกต์นับแสนล้านไร้ครหา “โกง”
เพิ่งจะล่าสุดที่สัญญาณแปร่งๆแฝงอันตราย แบบที่เริ่มมี “ข่าวปล่อย” เปลี่ยนมือเศรษฐกิจรัฐบาล
เจาะยาง “สมคิด” หวังเบียดให้พ้นเส้นทาง
ตามกระแสข่าววงใน “ขาใหญ่” พรรคร่วมรัฐบาล หงุดหงิดที่ “สมคิด” เป็น “ก้างขวางคอ” ไม่ยอมให้ตีเมืองขึ้นกันง่ายๆ ในจังหวะที่เริ่มปล่อยเมกะโปรเจกต์ลอตใหญ่ออกมา
ถ้า “บิ๊กตู่” ไม่คุมเกมให้ดี เชื้อโกงลามเข้าเหลี่ยมม็อบไล่ลุงแน่.
ทีมข่าวการเมือง