ดักคอซักฟอกรบ.แค่ช่วง5ด. ป้อมสำทับยุคคสช.จบไปแล้ว ‘ไพบูลย์’แบไต๋ขวางตั้งส.ส.ร.

“นายกฯตู่” นำ ครม.ทำบุญเอาฤกษ์ปีใหม่ ยักไหล่ไม่หวั่นเกิดปีมะเมียเข้าปีชงเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ เมินโหรทักดวงเมืองแรงขัดแย้งถึงขั้นยุบสภา มั่นใจทำความดีชนะทุกอย่าง พี่น้อง 2 ป. ดักคอฝ่ายค้านห้ามโยงซักฟอกผลงานรัฐบาล คสช. “บิ๊กตู่” ลั่นรัฐบาลนี้เพิ่งเข้ามา 5 เดือน “บิ๊กป้อม” อ้างเฉยที่แล้วมาจบไปแล้ว “บิ๊กป๊อก” บ่ยั่นหนุนใช้เวทีสภาฯถามมาตอบไป “ประยุทธ์” ชิ่งสื่อไล่ถาม “ชวน” ชงโละ ผบ.เหล่าทัพพ้นวุฒิสภา “ประวิตร” โต้ คสช.ส่งบิ๊กทหารไปเป็น ส.ว.เพื่อติดตามงานสภาฯ ไม่เกี่ยวกับการปฏิวัติ พท.หนุนแยกทหารพ้นการเมือง “ภูมิธรรม” กระทุ้งต้องแก้หน้าที่กับที่มา ส.ว.ด้วย “ไพบูลย์” ตั้งท่าขวางตั้ง ส.ส.ร.รื้อ รธน.ดันแก้รายมาตราที่มีปัญหา “เรืองไกร” ร้องนายกฯงัด ก.ม. ปปง.สอบ “ปารีณา”

จากกรณีมีหมอดูสำนักต่างๆออกมาทำนายดวงเมือง ปี 2563 ระบุหลังปีใหม่เป็นต้นไปสถานการณ์การเมืองอาจจะขัดแย้งกันรุนแรงถึงขั้นยุบสภา โดยเฉพาะทางโหราศาสตร์จีนปีนี้ดวงชะตา พล.อ.ประยุทธ์ เกิดปีมะเมียเข้าสู่ปีชง 100 เปอร์เซ็นต์ ล่าสุด นายกฯ ระบุเชื่อมั่นว่าการทำความดีจะเป็นกุศลคุ้มครอง

นายกฯนำ ครม.ทำบุญรับปีหนูทอง

เมื่อเวลา 07.00 น. วันที่ 2 ม.ค. ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เป็นประธานพิธีทำบุญตักบาตรเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ.2563 เพื่อความเป็นสิริมงคลก่อนเริ่มประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ครั้งแรกของปี โดยมีนางนราพร จันทร์โอชา ภริยา เหล่า ครม. ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ทำเนียบรัฐบาลร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์ พระสงฆ์ 10 รูป โดยสมเด็จพระมหารัชมงคลมุนี (เจ้าคุณธงชัย) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร ได้ประพรมน้ำมนต์ให้นายกฯและ ครม.ด้วย

...

จากนั้นได้ทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ 63 รูปหน้าตึกไทยคู่ฟ้า มีสมเด็จพระวันรัต เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศราชวรวิหาร เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ หลังตักบาตรเสร็จ นายกฯเดินสวัสดีปีใหม่ทักทาย ครม.ทุกคนอย่างอารมณ์ดี ก่อนขึ้นไปสักการะพระพรหมบนตึกไทยคู่ฟ้า ถวายผลไม้เครื่องสักการะ จากนั้นเวลา 09.09 น. จึงเดินลงจากตึกไทยคู่ฟ้าไปไหว้ศาลพระภูมิเจ้าที่และศาลตายาย โดยถวายอาหารคาวหวานไหว้ศาลพระภูมิเจ้าที่ ทั้งไข่ลูกเขย กะเพราเนื้อ ต้มกะทิสายบัว ข้าวสวย ลอดช่องน้ำกะทิ และน้ำแดง ส่วนศาลตายาย ถวายพะแนงหมู กะเพราเนื้อ ต้มกะทิสายบัว ข้าวสวย ซาหริ่มน้ำกะทิ น้ำแดง กล้วย อ้อย ข้าวตอกดอกไม้ หมากพลู

ไม่หวั่นเกิดปี “มะเมีย” ชงร้อย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนนายกฯเดินขึ้นตึกบัญชาการเพื่อไปประชุม ครม. พล.อ.ประยุทธ์อวยพรสื่อมวลชนที่รอติดตามทำข่าวว่า “สวัสดี ปีใหม่ ขอให้มีความสุข มีเงินใช้” ผู้สื่อข่าวถามว่าปีนี้เป็นปีชงของนายกฯจะแก้เคล็ดหรือไม่ นายกฯกล่าวว่า “ทำความดีไง ถ้าทำความไม่ดีก็แก้อะไรไม่ได้ และไม่จำเป็นต้องไปวัดไหน ถ้าทำความดีไปวัดไหนก็ได้” ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ความเชื่อทางโหราศาสตร์จีน ระบุว่าปีนี้เป็นปีชงของ พล.อ.ประยุทธ์ เนื่องจากนายกฯ เกิดปีมะเมียดวงชะตาเข้าปีชง 100 เปอร์เซ็นต์

เมินโหรทักการเมืองแรงถึงยุบสภา

จากนั้นเมื่อเวลา 12.50 น. พล.อ.ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์หลังการประชุม ครม.ถึงกรณีโหรหลายสำนักทำนายดวงเมืองระบุว่า การเมืองปี 63 อาจขัดแย้งหนักถึงขั้นยุบสภาและโหราศาสตร์จีนระบุว่าปีนี้เป็นปีชงของนายกฯเกิดปีมะเมีย จะป้องกันแก้เคล็ดอย่างไรหรือไม่ว่า หมอดูก็คือหมอดู เขานำสถิติมาดู ไม่ดูถูก ผมเคารพอยู่แล้ว ทุกคนมีสิทธิแสดงความคิดเห็นตามศาสตร์ของท่าน แต่สิ่งสำคัญที่สุดอยู่ที่ใจพวกเราทุกคน ถ้าเราทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต โปร่งใส ตรวจสอบได้ สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่จะทำให้บ้านเมืองขัดแย้ง อาจจะพูดแรงไปหรือไม่ที่ว่าการเมืองขัดแย้งหนักอาจถึงขั้นยุบสภา ลองมาดูว่าที่ทำนายไป หมอดูแต่ละเจ้าทำนายถูกเท่าไหร่ ผิดเท่าไหร่ ให้ไปดูกันเอา ไม่อยากเอาสิ่งเหล่านี้เป็นบรรทัดฐาน ถามว่ากังวลหรือไม่ กังวลแล้วได้อะไรขึ้นมา ผมก็คือผม เกิดมาแล้วเปลี่ยนวันเกิดไม่ได้ สิ่งต่างๆเหล่านี้ไม่ใช่อยู่ที่ดวงอย่างเดียว คงเป็นเรื่องการทำงาน การตั้งมั่นในการทำความดี บุญกุศลอาจจะคุ้มครองเราได้บ้าง ทำให้ดีที่สุดแล้วกัน ฝากไปถึงรัฐมนตรีใน ครม.ด้วย”

ลั่นทำความดีชนะทุกอย่าง

นายกฯกล่าวอีกว่า ตนผ่านมาหลายรอบแล้วปีชงน่ะ ถ้าเราทำความดีด้วยหัวใจ คิดดีทำดี ความดีจะชนะทุกอย่างและมีสติ ไม่ประมาท สมเด็จพระสังฆราชประทานพรมาวาจาอันไพเราะ ยังประโยชน์สู่ความสำเร็จ จะใช้วาจาอันไพเราะกับทุกคน บางทีคิดเร็ว พูดเร็ว ทำเร็ว บางทีมีอารมณ์บ้าง ให้อภัยบ้างเถอะ ขอให้มีความสุขในปีต่อๆไปเจอกันนานๆ ทุกวันนี้ได้เจอทุกคนอยู่แล้ว ทั้งในโทรทัศน์และหน้าหนังสือพิมพ์ ขอให้ช่วยกันทำให้บ้านเมืองสงบหน่อย ถ้าไปทำนายว่าหลังปีใหม่แล้วจะตีกัน คือคิดอย่างไร พูดอย่างไร จะเป็นอย่างนั้น แต่ถ้าไม่คิดอย่างนี้ พูดอย่างนี้ ไม่ชี้นำทุกอย่างก็ไม่เกิดเท่านั้นเอง จึงขอฝากทุกคนด้วย สวัสดีและขอบคุณทุกคน ลาทีไม่ใช่ลาก่อน

กำชับ ครม.ปี 63 เร่งตอบโจทย์ ปชช.

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวต่อว่า ขออวยพรปีใหม่ให้กับประชาชนขอให้เป็นปีแห่งความสำเร็จและเป็นปีแห่งความสุขของพวกเราทุกคนทั้งประเทศ รัฐบาลมีหน้าที่ทำทุกอย่างให้ดีขึ้นไปเรื่อยๆ ทั้งการแก้ไขปัญหาระยะสั้น ระยะยาว หรือปานกลางที่ทับซ้อนกันอยู่ ได้เน้นย้ำไปแล้วว่าต้องทำควบคู่กันไป โดยเฉพาะปัญหาเรื่องที่ดิน น้ำ ต้องดำเนินการ โดยเร็ว คาดว่าจะมีการประชุมคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) และเร่งรัดการดำเนินการภายในปี 2563 เพื่อให้ได้ข้อยุติบางประการให้ทุกคน สบายใจ นอกจากนี้ได้เน้นย้ำการทำงานปี 2563 ในที่ประชุม ครม.ว่าต้องตอบสนองประชาชนให้มากขึ้น โดยคำนึงถึงหลักการและงบฯที่มีอยู่ ให้ช่วยกันเสนอแนวทางที่ดีที่สุด

โต้คนวิจารณ์ ศก.เสนอทางแก้ด้วย

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวด้วยว่า ปัญหาเศรษฐกิจของไทยประเมินกันได้ว่าจะมากหรือน้อยไปตามสถานการณ์ แต่สิ่งสำคัญเราต้องช่วยกันว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร อยากจะฟังจากหลายคนมากกว่าจะมาบอกว่าไอ้นั่นก็ไม่ได้ ไอ้นี่ไม่ดี ไอ้นี่ก็ไม่ใช่ แต่ไม่ได้บอกว่าจะแก้อย่างไร แล้วโยนกลับมาว่ารัฐบาลแก้ไม่ได้ ไม่สำเร็จ แสดงว่ารัฐบาลไม่มีประสิทธิภาพ ลองเสนอมา ถ้าดีตนจะทำให้ หรือจะ ทำความเข้าใจว่าทำไม่ได้เพราะอะไร หลายอย่างถ้ามานั่งอยู่ตรงนี้จะรู้ว่าอะไรทำได้ ไม่ได้ มันต้องมี กฎกติกาเยอะแยะ ถ้าทำไม่ถูกต้องตามกฎหมายมันอันตราย แล้วใครจะรับผิดชอบ เห็นใจกันด้วย ส่วนค่าเงินบาทมาตรการต่างๆหารือกันมาตลอด ตั้งคณะกรรมการติดตามใกล้ชิด หลายมาตรการออกไปดีขึ้น แต่บางอย่างยังไม่ดีขึ้น นี่คือการแก้ปัญหาที่มีปัจจัยภายนอกเกี่ยวข้อง ทุกประเทศเศรษฐกิจเขาตกหมด มันก็ตกตามกัน

ดักคอ รบ.เพิ่ง 5 เดือนอย่าถล่มปมเก่า

เมื่อถามว่า ฝ่ายค้านเตรียมยื่นอภิปรายไม่ไว้ วางใจนายกฯและรัฐมนตรีรวม 5 คน พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ไม่ได้มองว่ามีปัญหาในการทำงาน เพราะเพิ่งทำมา 5 เดือนเองใช่หรือไม่ รัฐบาลนี้ 5 เดือนนะจำไว้ รัฐบาลที่แล้วก็รัฐบาลที่แล้ว ฉะนั้นเป็นการอภิปรายนายกฯและรัฐมนตรีใน ครม.ชุดนี้ อย่าเอามาพันกันมันจะเสียหายไปหมด จะทำให้สิ่งที่ทำไว้เสียไปด้วย ที่ทำดีๆไว้เสียหายหมด เพราะไม่เข้าใจกันแล้วจะทำงานกันอย่างไรต่อไป อะไรที่รัฐบาลก่อนๆทำไว้ดี ตนก็ทำต่อ ไม่เคยไปว่าอะไรเขา เว้นแต่เป็นเรื่องไม่ถูกต้อง ไม่เป็นไปตามกฎหมาย เป็นเรื่องของกลไกกระบวนการยุติธรรมว่ากันไป จะมาเกี่ยวอะไรกับตน ดังนั้นอย่าเอาความไม่ชอบส่วนตัวมาว่า เพราะประเทศชาติสำคัญกว่าอย่างอื่นตนไม่ได้วิตกกังวลอะไรทั้งสิ้นก็ชี้แจงไป สุดแล้วแต่ว่าวัตถุประสงค์นั้นทำไปเพื่ออะไร เราตอบได้ก็คือตอบ ฟังกันบ้างในคำตอบ อย่าถามอย่างเดียวแล้วไม่ฟังคำตอบ ขอฝากประชาชนช่วยฟังคำตอบด้วย

“ประวิตร” ให้ซัด รบ.นี้ที่แล้วมาก็จบไป

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ กล่าวถึงกรณีที่ฝ่ายค้านเตรียมอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลว่า จะรู้ได้อย่างไรว่าตนจะโดนหรือไม่โดน แต่ถ้าการอภิปรายฯอยู่ในช่วง 5 เดือนของรัฐบาลชุดนี้ก็โอเค ส่วนที่แล้วมาก็จบไปแล้ว ขอให้ยึดหลักการทำงานในช่วง 5 เดือนกว่าที่ผ่านมา ขอให้ฝ่ายค้านยึดหลักการนี้ ส่วนกรณีนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ระบุรัฐบาลไม่ดูแลกลุ่มชาติพันธุ์ ถามว่าผิดกฎหมายหรือไม่ นี่คือความคิดเห็นส่วนตัวของนายธนาธร ยืนยันว่ารัฐบาลดูแลกลุ่มชาติพันธุ์มาตลอด จนมีที่ทำกินและปลูกผลไม้ได้มากมาย ในหลวง ร.9 ทรงดูแลมายาวนาน นาย ธนาธรพูดในมุมมองของเขา แต่ในหลวง ร.9 ทรงทำมาจนกลุ่มชาติพันธุ์มีที่อยู่ที่อาศัย มีที่ทำกิน ทำไมนายธนาธรไม่พูด เมื่อถามว่า มองว่าเป็นการโจมตีรัฐบาลหรือไม่ พล.อ.ประวิตรย้อนถามว่า โจมตีอย่างไร เพราะรัฐบาลเพิ่งมาทำงานได้ 5 เดือน

เมื่อถามว่า หลายฝ่ายกังวลว่ากลุ่มชาติพันธุ์อาจไม่เข้าใจ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า “อย่างนี้คงเข้าใจ แล้วมั้ง อธิบายแล้วเข้าใจมั้ย”

“บิ๊กป๊อก” บ่ยั่นถูกจับขึ้นเขียง

พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย กล่าวว่า กรณีฝ่ายค้านเตรียมยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ ถือเป็นเรื่องดี เมื่อฝ่ายค้านผู้ตรวจสอบถ่วงดุลการทำงานของผู้ใช้อำนาจรัฐคือรัฐบาล จึงควรใช้พื้นที่ในสภาฯดำเนินการ ไม่ว่าจะเรื่องอภิปรายไม่ไว้วางใจหรือการทำงาน การตั้งข้อสงสัยหรือการเสนอแนะ ต่างๆควรทำในสภาฯ ทุกคนที่มาทำงานต้องพร้อมไม่ใช่มาเตรียมตอบคำถาม แต่ต้องทำงานตามอำนาจหน้าที่ ตามกฎหมายและคุณธรรมที่ต้องทำ เมื่อฝ่ายตรวจสอบรู้อะไรมาแล้วอยากทราบมาอภิปรายกัน เรามีหน้าที่ต้องตอบเพื่อสร้างความเข้าใจกัน

ปัดเลือกตั้ง อปท.เดือน มี.ค.

พล.อ.อนุพงษ์กล่าวอีกว่า ส่วนการเลือกตั้งท้องถิ่น กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย จะสำรวจยอดประชากรทั้งหมดใช้ยอดสิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค.62 เป็นหลัก ได้เตรียมความพร้อมไว้ไม่ว่าจะเลือกตั้งเดือนใด ตามกฎหมายถ้าพื้นที่ใดมีประชากรไม่ครบ 25 คนต้องรวมหมู่บ้าน โดยนายอำเภอเป็นผู้ดำเนินการพร้อมทั้งทำประชาคมว่าจะรวมหมู่บ้านใดให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 31 ม.ค. เพื่อเตรียมการเลือกตั้ง อบต.ต่อไป เมื่อถามว่าจะมีการเลือกตั้ง อปท.เดือน มี.ค.หรือไม่ พล.อ.อนุพงษ์กล่าวว่า ไม่มีแววไปเอาจากไหนมา กกต.ต้องมีความพร้อม โดยเฉพาะการแบ่งเขตเลือกตั้ง ท้องถิ่นเองต้องพร้อมเรื่องงบประมาณเป็นหลัก ท้องถิ่นถ้ามีงบฯพร้อมจะมาหารือโดย ครม.จะกำหนดว่าจะเลือกตั้งเมื่อไหร่อย่างไรต่อไป

“ลุงป้อม” นำ ครม.อวยพร “บิ๊กตู่”

นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า ในที่ประชุม ครม. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ กล่าวอวยพรพร้อมมอบแจกันดอกไม้ปีใหม่ให้นายกฯในนาม ครม.เพื่อเป็นกำลังใจให้มีพลังกายพลังใจที่เข้มแข็งนำพาผลงานต่างๆไปสู่ประชาชน ด้านนายกฯได้ขอบคุณทุกคนที่ร่วมทำงานเป็นเวลา 5 เดือน ฝากให้ทุกคนมีจิตตั้งมั่นทำความดีเพื่อประเทศชาติและประชาชน และอวยพร ครม.พร้อมขอบคุณทุกหน่วยงานที่เสียสละทำหน้าที่ในช่วงเทศกาลปีใหม่ดูแลประชาชน ทั้งนี้นายกฯได้สั่งการ 3 เรื่อง 1.เร่งดูแลแก้ไขปัญหาที่ดินและที่ทับซ้อนของประชาชนอย่างเป็นระบบ 2.เน้นไปที่ผลสัมฤทธิ์กับประชาชนกลุ่มเป้าหมายมากกว่าการหาเสียง และ 3.ให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาแผนการดำเนินการที่จะใช้พื้นที่ไม่ว่าจะเป็นทางหลวง หรือเส้นทางต่างๆให้เกิดประโยชน์สูงสุด

“สิระ” อัด “ปิยบุตร” ปั่นหัวประชาชน

นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณี นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ โพสต์เฟซบุ๊กลักษณะปลุกระดมให้ประชาชนออกมาโค่นล้มรัฐบาลว่า เป็นการดิ้นรนเฮือกสุดท้ายของคนสิ้นหวังที่ยังยึดติดตำแหน่ง แต่ไม่พร้อมรับผิดชอบต่อการกระทำผิดของตัวเอง พยายามปั่นหัวประชาชนเหมือนจิ้งหรีดให้สับสนงงงวยในข้อมูล ใช้อารมณ์ปลุกเร้าให้ลุกขึ้นมาเป็นกำแพงปกป้องตัวเอง หลังหัวหน้าพรรคทำพลาดหลายอย่าง ไล่ตั้งแต่ปล่อยหุ้นสื่อไม่ทันจนสิ้นสภาพ ส.ส. ไปจนถึงคดีปล่อยกู้ 191 ล้านให้พรรคตัวเอง ขัดทั้งกฎหมายพรรคการเมืองและขัดหลักการพรรคการเมืองต้องเป็นของประชาชน ไม่ถูกใครครอบงำ นายปิยบุตรอ้างว่าผู้ครองอำนาจกำลังใช้ พละกำลังเฮือกสุดท้าย เพื่อรักษาอำนาจ นายปิยบุตรต่างหากที่กำลังใช้ความพยายามเฮือกสุดท้ายหนีตายทางการเมืองด้วยการปลุกปั่นประชาชนให้ออกมาปกป้องตัวเอง

“บิ๊กตู่” ไล่ไปถาม “ชวน” โละ ผบ.พ้น ส.ว.

ส่วนความเคลื่อนไหวในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและ รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา เสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยให้โละทิ้ง ส.ว.ที่มาจากผู้บัญชาการเหล่าทัพและปลัดกระทรวงกลาโหมว่า ก็ว่ากันไปเป็นเรื่องของนายชวนที่เสนอ ต้องไปถามท่าน ตนไม่มีความคิดเห็นในเรื่องนี้ เป็นเรื่องของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญศึกษาหลักเกณฑ์วิธีการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะแก้ไขอะไรได้หรือไม่อย่างไร ตนไม่ได้ไปเกี่ยวข้องตรงนี้

“บิ๊กป้อม” อ้างให้เหล่าทัพตามงานสภา

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ กล่าวถึงกรณีนายชวน หลีกภัย ประธานสภาฯ เสนอไม่ควรให้ ผบ.เหล่าทัพเป็น ส.ว.ว่า ขึ้นอยู่กับสภาฯ ทั้งหมดแล้วแต่สภาฯ เรื่องนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของนายชวน การที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เสนอให้ผู้บัญชาการเหล่าทัพเป็น ส.ว. เพราะต้องการให้เหล่าทัพได้ติดตามงานในสภาฯที่ไม่เคยรู้เรื่องมาก่อน เพื่อนำไปชี้แจงกับกำลังพลในกองทัพ ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องปฏิวัติ อีกทั้งยังได้ทำงานร่วมกับ ส.ว. และ ส.ส.ด้วย แต่ถ้าสภาฯเห็นชอบต้องมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในส่วนทหารไม่ได้เกี่ยวข้องและคงไม่ต้องเรียกมาพูดคุย

“วิษณุ” เชิญอยากแก้ รธน.ส่งเข้า กมธ.

นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎรเสนอว่า ส.ว. ไม่ควรมาจากผู้บัญชาการเหล่าทัพทั้ง 6 คนว่า ไม่ทราบ เพราะรัฐธรรมนูญปี 60 ระบุไว้เช่นนั้น แต่จะเลือกแก้ไขจุดใดแล้วแต่ ตนไม่มีความเห็น จะมีความเป็นไปได้หรือไม่นั้นต้องแก้รัฐธรรมนูญ ข้อเสนอต่างๆต้องเสนอไปที่คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหาหลักเกณฑ์ และแนวทางการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 หากกรรมาธิการไม่เห็นด้วยก็ตกไป แต่ถ้าเห็นด้วยจะรวบรวมข้อมูลทั้งหมดนำเข้าที่ประชุมสภาฯ จากนั้นสภาฯจะทำอย่างไรต่อก็แล้วแต่ เช่น 1.เสนอเป็นร่างแก้ไข 2.เสนอมายังรัฐบาล 3.อื่นๆที่ยังไม่รู้ ในชั้นนี้เสนอได้ทุกอย่าง เพราะเขาให้ศึกษาทั้ง 270 มาตราอยู่แล้ว

นายวิษณุกล่าวอีกว่า ส่วนจะต้องทำประชาพิจารณ์หรือไม่ยังอีกยาว ต้องยกร่างก่อนจะเสนอเข้าสภาฯ และต้องได้รับความเห็นชอบวาระ 1-2-3 ถ้าตกไปจะไปไม่ถึงการทำประชาพิจารณ์ขั้นตอนสุดท้ายก่อนนำขึ้นทูลเกล้าฯ เมื่อถามว่า ทำประชาพิจารณ์ ก่อนได้หรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า “จะบอกว่าทำไม่ได้ก็ไม่เชิง กฎหมายไม่ได้บอกให้ทำหรือมีผลอย่างไร เนื่องจากการทำประชาพิจารณ์ต้องใช้งบประมาณ 2,000-3,000 ล้านบาท เมื่อถามว่า รัฐบาลมีประเด็นใดที่จะเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่ รองนายกฯตอบว่า ยังไม่ทราบยังไม่เคยคุยกัน

“ไพบูลย์” ค้านตั้ง สสร.ชงแก้รายมาตรา

นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะรองประธานคณะ กมธ.วิสามัญพิจารณาศึกษาหลักเกณฑ์และวิธีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญฯ เปิดเผยว่า ในช่วงการพิจารณาร่าง พ.ร.บ. งบฯ สภาฯได้ขอความร่วมมือให้งดการประชุมคณะกมธ.ชั่วคราว ดังนั้นการประชุมคณะ กมธ.วิสามัญฯจะมีอีกครั้งวันที่ 14 ม.ค. และ 17 ม.ค. ต้องรอให้ การพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำงบประมาณ พ.ศ.2563 เสร็จสิ้นก่อน โดยจะยังไม่พิจารณาว่าควรจะแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตราใด จะให้ กมธ.อภิปรายแสดงความเห็นเพื่อสรุปเป็นสาระสำคัญ ส่วนตัวจะเสนอให้สื่อมวลชนเข้ารับฟังการประชุมของคณะ กมธ.เพื่อจะได้สะท้อนข้อมูลทั้งสองด้านให้สังคมเห็นว่าใครเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยประเด็นใดอย่างไร ป้องกันไม่ให้แสดงความคิดเห็นฝ่ายเดียว และไม่ควรปลุกกระแสให้เกิดความขัดแย้ง และจะเสนอเหตุผลที่ไม่เห็นด้วยให้ตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) เพราะขาดเหตุผลความจำเป็น ที่สำคัญจะสร้างปัญหามากกว่าประโยชน์ที่สังคมจะได้ คิดว่าหากจะแก้ไขรัฐธรรมนูญควรแก้ไขเป็นรายมาตรามากกว่า เอาเฉพาะมาตราที่มีปัญหาและสังคมยอมรับว่าควรต้องแก้ไข เทียบเคียงกับการแก้ไขประมวลกฎหมาย เช่น ประมวลรัษฎากรหรือประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เป็นต้น

“สมชัย” หนุนขับ ผบ.เหล่าทัพพ้น ส.ว.

นายสมชัย ศรีสุทธิยากร ในฐานะ กมธ.วิสามัญพิจารณาศึกษาหลักเกณฑ์และวิธีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ กล่าวถึงการออกแบบ ส.ว. ที่ให้มีข้าราชการประจำ 6 คน เป็น ส.ว.โดยตำแหน่งว่า มีประเด็นน่าพิจารณาหลายประการ คือ 1.6 ส.ว.ที่มาโดยตำแหน่งการเป็น ผบ.หน่วยคุมกำลัง เป็นข้าราชการประจำ ศักดิ์ศรีมิได้แตกต่างกับปลัดกระทรวงอื่นหรือตำแหน่งเทียบเท่าปลัดกระทรวงอีกมากมายที่ล้วนแล้วแต่สำคัญไม่น้อย 2.6 ส.ว.ดังกล่าวเป็นเหมือนอภิสิทธิ์ชนนั่งสองเก้าอี้ รับเงินเดือนสองทาง ข้ามเส้นแบ่งไปมาระหว่างข้าราชการการเมืองและข้าราชการประจำ ด้วยความสำคัญของงานประจำ จึงเชื่อว่าจะไม่สามารถทำงานในหน้าที่ ส.ว.ได้เต็มที่และเต็มเวลา 3.การอ้างเหตุว่าออกแบบมาเพื่อป้องกันการรัฐประหารไร้เดียงสายิ่ง จะอยู่นอกหรือในสภาฯหากคุมกำลังก็ทำรัฐประหารได้ ในอดีตขนาดนายกฯมีอำนาจเต็มยังรัฐประหารตัวเอง เพราะเบื่อสภาฯได้ 4.ข้อเสนอของนายชวน หลีกภัย ประธานสภาฯที่ให้ทบทวน 6 ส.ว.จากข้าราชการประจำ เป็นข้อเสนอบนการปกครองแบบประชาธิปไตยสากล มุ่งให้มีเส้นแบ่งชัดเจนระหว่างข้าราชการประจำและฝ่ายการเมืองสมควรพิจารณายิ่ง อย่าหลับหูหลับตาเชียร์ฝ่ายใด จนลืมหลักการ หรือบอกให้ทนๆแค่ 5 ปี เพราะแต่ละวันแต่ละเดือนที่ผ่าน ประเทศล้วนมีต้นทุนที่ต้องจ่าย

“ภูมิธรรม” ให้ฝ่ายประจำกับการเมือง

นายภูมิธรรม เวชยชัย ที่ปรึกษาผู้นำฝ่ายค้าน กล่าวว่า เห็นด้วยกับนายชวนเพราะไม่ควรให้ข้าราชการประจำมามีบทบาทหน้าที่ในฝ่ายการเมือง จะทำให้การทำงานทับซ้อนกัน จริงๆแล้วฝ่ายการเมืองมีหน้าที่กำหนดนโยบายสะท้อนความต้องการของประชาชน ขณะที่ฝ่ายประจำต้องสนองนโยบายของฝ่ายการเมือง ตราบใดที่ยังไม่แยกสองอำนาจนี้อย่างชัดเจน จะเกิดความคลุมเครือสังคมโลกยังไม่มั่นใจส่งผลต่อความเชื่อมั่นที่มีต่อประเทศไทย เห็นได้จากที่ผ่านมานานาชาติ ยังไม่เข้ามามากนักเพราะไม่มั่นใจรัฐบาล ควรปล่อยให้สภาฯมีพัฒนาการด้วยตัวเอง สังคมโลกจะได้ยอมรับมากขึ้น อยากให้ฝ่ายประจำ ผบ.เหล่าทัพทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมากกว่ามายุ่งเรื่องการเมือง เพราะสิ่งที่เป็นปรากฏเห็นได้ชัดคือ ตัว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหม ที่เติบโตมาจากกองทัพ มีความชำนาญด้านความมั่นคง แต่ไม่รู้เรื่องเศรษฐกิจและการบริหารประเทศ ไม่สามารถแก้ปัญหาประเทศได้อย่างเหมาะสมหรือแก้วิกฤติเศรษฐกิจไม่ได้

ยังไม่พอต้องแก้หน้าที่–ที่มา ส.ว.ด้วย

นายภูมิธรรมกล่าวอีกว่า นอกจากประเด็นของนายชวนแล้ว ยังมองว่าบทบาทหน้าที่ของ ส.ว.ตอนนี้มีมากเกินไป ถูกวิจารณ์ว่าเข้ามายุ่งเกี่ยวในการเลือกตัวผู้นำประเทศ ทั้งที่ไม่ได้มาจากประชาชน เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม ทุกวันนี้ ส.ว.ถูกมองว่าเป็นกลไกสืบทอดอำนาจของกลุ่มที่ทำรัฐประหารมา ยิ่งเป็นอุปสรรคทำให้ประเทศไม่ได้รับความไว้วางใจ ไม่ได้รับความเชื่อมั่น อยากให้แก้เรื่องหน้าที่และที่มาของ ส.ว.ด้วย โดยให้มีความเป็นประชาธิปไตยมากกว่านี้ เพื่อให้ประเทศหลุดพ้นจากการไม่ยอมรับทั้งหลาย

เหน็บพวกทาสดิ้นโดดขวาง

นายสมคิด เชื้อคง ส.ส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีนายชวน หลีกภัย ประธานสภาฯระบุไม่ควรให้ ผบ.เหล่าทัพดำรงตำแหน่ง ส.ว.โดยตำแหน่งว่า เป็นแนวคิดปกติธรรมดาของคนที่เดินทางสายประชาชน การที่รัฐธรรมนูญกำหนดให้ ผบ.เหล่าทัพ 6 ตำแหน่งเป็น ส.ว. มายกมือโหวตนายกฯได้สมควรแก้ไขอย่างยิ่ง เพราะใช้แม่ทัพนายกองมายุ่งเกี่ยวกับการเมือง หนีไม่พ้นการคุ้มครองกลุ่มตนเอง ส่วนที่มี ส.ว.บางคน ออกมาคัดค้านที่จะโละแม่ทัพนายกองออกไป เป็นความเห็นของคนที่ได้ดีด้วยระบบนี้ เป็นแบบทาสที่ปล่อยไม่ไป นี่แค่ในชั้น กมธ.วิสามัญฯศึกษาการแก้ไขยังโดดอุ้มโดดขวางขนาดนี้ หากแก้ไขจริงคงวุ่นวายน่าดู ปัญหาปากท้องประชาชนที่ไม่ได้รับการแก้ไขส่วนหนึ่งมาจาก รัฐธรรมนูญปี 2560 ที่ทำให้พรรคการเมืองอ่อนแอ ได้สารพัดพรรคมาเป็นรัฐบาล หานโยบายที่แท้จริงไม่ได้ นอกจากแจกเงินป้องกันประชาชนด่าทอ

“เทพไท” ชี้ 10 ปัจจัยเสี่ยงพลิก รบ.ลุงตู่

นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าววิเคราะห์สถานการณ์การเมืองปี 63 ผ่านเฟซบุ๊กไลฟ์ว่า ปัจจัยที่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของรัฐบาลภายในปี 2563 น่าจะเกิดจากเหตุการณ์ที่สั่งสมกันมาดังต่อไปนี้ 1.การอภิปราย พ.ร.บ.งบฯปี 2563 วาระ 2-3 ในวันที่ 8-9 ม.ค. พรรคร่วมฝ่ายค้านจะอภิปรายแปรญัตติถล่มงบฯกระทรวงกลาโหมดิสเครดิตกองทัพและรัฐบาล 2.การยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลแบบรายบุคคลในเดือน ก.พ. ถ้าเปิดแผลทุจริตคอร์รัปชันของรัฐบาลได้ หรือมีใบเสร็จหลักฐานทุจริตชัดเจน จะมีการเปลี่ยนเปลี่ยนแปลงทางการเมืองแน่นอน 3.การปรับ ครม.ของรัฐบาล อาจเกิดขึ้นก่อนอภิปรายไม่ไว้วางใจ ลดกระแสหรือตัดหน้าการอภิปรายไม่ไว้วางใจ หรืออาจปรับ ครม.หลังอภิปรายฯเพื่อปรับรัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจออกไปบ้าง ทาง การเมืองถ้ารัฐบาลชุดใดปรับ ครม.เกิดขึ้นจะเป็นสัญญาณนับถอยหลังทางการเมืองทันที 4.จับตาท่าทีของพรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มพรรคเล็กที่รวมตัวกันมี ส.ส.มากพอจะต่อรองตำแหน่งรัฐมนตรีได้ เช่น กลุ่มกิจสังคมใหม่หรือพรรคเศรษฐกิจใหม่ 5.การพิพากษาคดียุบพรรคอนาคตใหม่และคดีอื่นๆ อีกหลายคดี หากพรรคอนาคตใหม่ถูกศาลตัดสินยุบพรรคต้องจับตากลุ่มงูเห่า หรือการช้อนซื้อตัวส.ส.เข้าสังกัดพรรคร่วมรัฐบาล หรือพรรคขนาดเล็ก เพื่อเพิ่มจำนวน ส.ส.ให้เท่ากับโควตารัฐมนตรี

อาจปิดฝาโลงเรือแป๊ะท้ายปี 63

นายเทพไทระบุต่อว่า 6.การนัดชุมนุมทาง การเมืองของกลุ่มคนรุ่นใหม่หรือแฟลชม็อบและการเคลื่อนไหวนอกสภาฯของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจกับกลุ่มผู้สนับสนุนพรรคอนาคตใหม่ จะมีพลังหรือสร้างแรงกดดันทางการเมืองได้หรือไม่ 7.การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ผลการศึกษาของคณะ กมธ.วิสามัญศึกษาหลักเกณฑ์และวิธีการแก้ไขรัฐธรรมนูญฯ จะได้ข้อสรุปภายใน 180 วัน 8.การแก้ปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาล โดยเฉพาะปัญหาปากท้อง ราคาพืชผลการเกษตรตกต่ำรอบครึ่งปีหรือไตรมาส 2 9.การเปลี่ยนแปลงดุลอำนาจในกองทัพและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ปีนี้ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ.และ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.สตช. จะเกษียณ อายุราชการวันที่ 30 ก.ย. การแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่ง แทนจะจัดสรรดุลอำนาจได้ลงตัวหรือไม่หรือจะเกิดแตกแยก แรงกระเพื่อมในกองทัพหรือไม่ 10.การเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจของพรรคฝ่ายค้านครั้งที่ 2 ในรอบหนึ่งปี ถึงวันนั้นเสถียรภาพรัฐบาลอาจจะง่อนแง่น บอบช้ำมาตลอดหนึ่งปี จะเป็นโอกาสสุดท้ายที่พรรคฝ่ายค้านจะเผด็จศึกรัฐบาลลงได้ส่งท้ายปี 63 ตลอดปี 2563 สถานการณ์ทางการเมืองจะร้อนแรงขึ้นเป็นลำดับ รัฐบาลจะได้รับแรงเสียดทานจากปัญหาการเมืองต่างๆนานา อายุสภาฯอยู่มาเกือบครบ 2 ปี ถ้าไม่มีการยุบสภาฯ เลือกตั้งใหม่ นายกฯก็ต้องลาออก เพื่อให้รัฐสภาโหวตเลือกนายกฯคนใหม่ จัดตั้งรัฐบาลใหม่ เพื่อบริหารประเทศต่อไป

ปชป.ลุยตั้งสาขา–ตัวแทนพรรค

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า แผนงานสำคัญของพรรคในปี 2563 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรค และนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรค ได้ย้ำให้พรรคเร่งตั้งสาขาพรรคและตัวแทนพรรคประจำจังหวัดทุกเขตเลือกตั้ง ทุกจังหวัด เพื่อเป็นตัวแทนพรรคทำงานในพื้นที่ตอบสนองความต้องการของประชาชน ให้ประชาชนในพื้นที่มีส่วนร่วมทางการเมือง เมื่อมีตัวแทนพรรคในทุกพื้นที่การรับรู้ถึงปัญหาต่างๆจะนำไปสู่การขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบและเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น พรรคไม่ได้คิดดูแลแก้ไขปัญหาเฉพาะพื้นที่ที่เลือกประชาธิปัตย์ แต่จะดูแลประชาชนอย่างเท่าเทียมกัน อยากให้ประชาชนมาร่วมสมัครสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ให้มาก เพื่อมีส่วนร่วมขับเคลื่อนพรรคด้วยกัน หัวหน้าพรรคเน้นย้ำว่าพรรคจะเดินหน้าทำงานเพื่อประชาชนเต็มที่ ทั้งบุคลากรของพรรค ส.ส. และรัฐมนตรีของพรรค

“เจ๊หน่อย” ซัด รบ.แจกแต่เงินไม่ยั่งยืน

คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวสวัสดีปีใหม่ 2563 มีเนื้อหาสรุปว่า สวัสดีปีใหม่ ปีเก่าที่เพิ่งผ่านพ้นไป เป็นปีที่คนไทยมีทั้งความสมหวังและผิดหวัง ต้นปีมีการเลือกตั้งตามระบบประชาธิปไตย แต่มีความผิดปกติของการจัดการเลือกตั้ง ทั้งบัตรเขย่ง บัตรออกลูกในหีบ ที่หาคำอธิบายไม่ได้ ประชาชนได้เห็นฤทธิ์เดชของรัฐธรรมนูญฉบับ คสช. โดย คสช.เพื่อ คสช. ผ่านสูตรคำนวณมหัศจรรย์ มี ส.ส.ของขวัญแจกพรรคจิ๋ว ส.ว.ทหารเกณฑ์ ที่ยกมือเลือก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯพร้อมเพรียง แต่ประชาชนยังคงยากลำบากเหมือน 5 ปีที่ผ่านมา ปีใหม่นี้คนไทยคงอยากเห็นนายกฯในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจเร่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจก่อนเป็นเรื่องแรก เมื่อ 2 วันที่ผ่านมารัฐบาลประกาศแนวทางแก้ไขปัญหาปากท้องให้ประชาชน 5 กลุ่ม ฟังแล้วยังไม่เห็นอะไรที่เป็นความหวังนอกจากโครงการประชารัฐนิยม ให้คนมาขึ้นทะเบียนบัตรประชารัฐเพิ่มขึ้นอีก ขอเตือนว่าการแจกเงินเพื่อหวังแต่คะแนนเสียง โดยไม่หาวิธีเพิ่มรายได้ที่ยั่งยืนไม่มีทางทำให้ปากท้องดีขึ้นได้

ทวงคำตอบจะแก้ปากท้องยังไง

คุณหญิงสุดารัตน์ระบุด้วยว่า ขอคำตอบชัดๆว่า จะแก้ไขปัญหาปากท้องประชาชนอย่างไร 1.จะแก้ราคาสินค้าเกษตรอย่างไร เมื่อไหร่เกษตรกรจะขายสินค้าเกษตรได้ราคาเป็นธรรม ไม่ขาดทุนอย่างทุกวันนี้ 2.จะดูแลแก้ไขค่าเงินบาทอย่างไร เมื่อไหร่ ขณะนี้ค่าเงินบาทแข็งที่สุดในภูมิภาค แตะ 29 บาทต่อ 1 ดอลลาร์ฯ แล้วจะกระทบทั้งการส่งออกและท่องเที่ยว 3.จะเพิ่มกำลังซื้อในประเทศอย่างไร 4.จะช่วยภาคการส่งออกอย่างไรให้อยู่ได้ ไม่ต้องปิดกิจการ ทำให้คนตกงานเพิ่มขึ้นทุกวัน และ 5.จะช่วยธุรกิจขนาดเล็กขนาดกลางอย่างไร ให้พอมีกำลังและเดินต่อไปได้ ทั้งนี้ อำนาจที่ได้มาต้องมิใช่เพื่อความยิ่งใหญ่ และเพื่อผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง แต่อำนาจที่ได้มา ต้องเอามาแก้ไขปัญหาให้พี่น้องประชาชนต่างหาก มือในสภาฯไม่ยิ่งใหญ่ไปกว่าศรัทธาประชาชน

แซะ “บิ๊กตู่” ปรับตัวไม่ได้รีบถอดหัวโขน

ร.ท.หญิง สุณิสา ทิวากรดำรง รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า แม้ขึ้นปีใหม่แล้ว แต่ พล.อ.ประยุทธ์ ยังพูดและคิดแบบไม่เข้าท่าเหมือนเดิม เสนอไอเดียเปลี่ยนชื่อเรียก 7 วันอันตราย ไม่ได้แก้ปัญหาอุบัติเหตุบนท้องถนนที่ถูกจุด แต่ต้องปลูกฝังจิตสำนึกการเคารพกฎจราจรและรณรงค์ลดบริโภคสิ่งมึนเมา แต่เชื่อว่ารัฐบาลคงทำไม่สำเร็จ ตราบใดที่ผู้ผลิตสุรารายใหญ่ของประเทศผู้สนับสนุนหลักของรัฐบาล ถ้ายอดขายตกจะเอาเงินที่ไหนมาให้รัฐบาล ส่วนที่นายกฯตำหนิคนขี่รถมอเตอร์ไซค์ชอบจอดรอไฟแดงบังหน้ารถเก๋ง แสดงว่าไม่เห็นใจคนทำมาหากิน ต้องรีบเดินทางให้ถึงจุดหมาย คนฟังอาจเข้าใจได้ว่าคนจนไม่มีสิทธิรีบไปไหน นายกฯต้องระมัดระวังการใช้คำพูดให้มากกว่านี้ ท่านสวมหัวโขนนายกฯ การพูดแบบนี้มันสะท้อนความกลวงและความไม่ระวังปากข้ามปีข้ามชาติของนายกฯ หากยากเกินไปที่จะพัฒนาตัวเอง ควรถอดหัวโขนลาออก คนอื่นจะได้เข้ามาแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่ตกต่ำ เพราะความล้มเหลวในการบริหารเศรษฐกิจของรัฐบาล

บี้นายกฯใช้ ก.ม.ปปง.สอบ “ปารีณา”

นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตสมาชิกพรรคไทยรักษาชาติ กล่าวว่า จากกรณี น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ ยื่นหนังสือส่งคืนพื้นที่ ภ.บ.ท.5 เข้าสู่กระบวนการปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตร ต่อ ส.ป.ก. เมื่อวันที่ 6 ธ.ค. น.ส.ปารีณาระบุมีความประสงค์ขอส่งคืนพื้นที่ ภ.บ.ท.5 เพื่อเข้าสู่กระบวนการปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตรให้เกิดประโยชน์ต่อการใช้ที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ทำให้มีเหตุต้องร้องขอให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและ รมว.กลาโหม ตรวจสอบต่อไปว่าการใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อเกษตรกรรมดังกล่าว อยู่ในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมจะเข้าข่ายความผิดมูลฐานตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 หรือไม่

เข้าข่ายใช้ประโยชน์จากกรณีรุกป่า

“เพราะความผิดมูลฐานตามมาตรา 3 (15) คือความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติหรือสิ่งแวดล้อม โดยการใช้ ยึดถือ หรือครอบครองทรัพยากรธรรมชาติหรือกระบวนการแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติโดยมิชอบด้วยกฎหมาย อันมีลักษณะเป็นการค้าและเมื่อตรวจสอบกับบัญชีทรัพย์สินฯของ น.ส.ปารีณาที่ยื่นต่อ ป.ป.ช.แจ้งไว้ส่วนหนึ่งว่ามีรายได้ประจำจากการเลี้ยงไก่ 109,962,076.14 บาท มีรายได้อื่นๆ จากการเลี้ยงวัว 675,000 บาท และมีรายจ่ายอื่นๆ ฟาร์มไก่ 107,770,454.07 บาท จึงมีประเด็นตามมาว่าจะเข้าข่ายความผิดมูลฐานตาม พ.ร.บ.ปปง.ที่นายกฯเป็นผู้รักษาการหรือไม่ จึงได้ส่งหนังสือขอให้ตรวจสอบถึงนายกฯลงวันที่ 2 ม.ค. 2563 เพื่อให้ดำเนินการตรวจสอบแล้ว” นายเรืองไกรกล่าว

ศาล รธน.ตีตกคำร้อง 6 ส.ส.ฝ่ายค้าน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เว็บไซต์สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญได้เผยแพร่คำสั่งศาลไม่รับคำร้อง ของประธานสภาฯ ที่ส่งคำร้องของนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ และ ส.ส.รวม 61 คนยื่นขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้สมาชิกสภาพความเป็น ส.ส.ของนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชาติ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ (ในขณะนั้น) นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อชาติ นายนิคม บุญวิเศษ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังปวงชนไทย และนายปิยบุตร แสงกนกกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 101 (7) ประกอบมาตรา 185 (1) กรณีใช้สถานะตำแหน่งการเป็น ส.ส.กระทำการก้าวก่ายแทรกแซงการปฏิบัติราชการ ในหน้าที่ประจำของข้าราชการ หน่วยราชการ เพื่อประโยชน์ของตนเอง ผู้อื่นหรือของพรรคการเมือง จากเหตุ 5 ส.ส.ยกเว้นนายปิยบุตรร่วมเสวนาหัวข้อ “พลวัตแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้สู่นับหนึ่งรัฐธรรมนูญใหม่” ที่ จ.ปัตตานี เมื่อวันที่ 29 ก.ย.62 และเห็นชอบกับการที่นางชลิตา บัณฑุวงศ์ อาจารย์มหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์ เสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 1 โดยมิได้คัดค้านหรือชี้แจงเพื่อไม่ให้เกิดความแตกแยก

ชี้มีการร้องทุกข์กล่าวโทษคดีอาญาแล้ว

ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า การที่ พล.ต.บุรินทร์ ทองประไพ ผอ.สำนักพระธรรมนูญทหารบกและ ผอ.สำนักงานกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ได้มีการร้องทุกข์กล่าวโทษดำเนินคดีกับ 5 ส.ส.ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 และ ส.ส.ทั้ง 5 คนได้ร้องทุกข์กล่าวโทษดำเนินคดีกับ พล.ท.พรศักดิ์ พูลสวัสดิ์ แม่ทัพภาคที่ 4 พล.ต.บุรินทร์ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 137 มาตรา 172 มาตรา 174 มาตรา 326 และมาตรา 328 ถือเป็นการใช้สิทธิตามปกติของกฎหมาย ตามกระบวนการยุติธรรมทางอาญา ส่วนการกระทำของนายปิยบุตรที่ได้แถลงข่าวเมื่อวันที่ 4 ต.ค.62 ว่ามีการร้องเรียนเจ้าหน้าที่ คสช.แจ้งความดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 หากมีการนำเรื่องดังกล่าวเข้าที่ประชุมคณะ กมธ. กฎหมายการยุติธรรมฯ สภาฯจะเรียก พล.ต.บุรินทร์มาชี้แจงนั้น เป็นเพียงการแถลงข่าวต่อสื่อถึงการทำหน้าที่ของคณะ กมธ.กฎหมายฯเท่านั้น ยังไม่ได้มีการดำเนินการอื่น ที่เป็นการใช้สถานะหรือตำแหน่ง ส.ส.ก้าวก่ายแทรกแซงอันเป็นเหตุให้สมาชิกภาพ ส.ส.ต้องสิ้นสุดลง

ยกคำร้อง “เสรีพิศุทธ์” ร้อง “ชวน” ละเมิด

เว็บไซต์สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ได้เผยแพร่คำสั่งศาลไม่รับคำร้องของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเสรีรวมไทย ที่ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญมาตรา 213 ขอให้ศาลวินิจฉัยให้การประชุมสภาฯและการประชุมร่วมกันของรัฐสภาเมื่อวันที่ 5 มิ.ย.62 ที่มีการเสนอชื่อและมีมติแต่งตั้งให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯเป็นการกระทำที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 157 วรรคสองและมาตรา 272 วรรคหนึ่ง เนื่องจากนายชวน หลีกภัย ประธานสภาฯและประธานรัฐสภา ไม่บรรจุวาระเสนอชื่อบุคคลผู้สมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกในวาระการประชุมสภาฯ แต่กลับบรรจุวาระประชุมร่วมรัฐสภา ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่านายชวนได้ดำเนินการครบถ้วนแล้ว การปฏิบัติหน้าที่ของนายชวน จึงไม่ได้เป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์