รัฐบาลลุงตู่ “เผชิญ” การเมือง-เศรษฐกิจ-มวลชน
ฉากอลังการ ตระการตาทั้งชาวไทยและชาวโลก
พระราชพิธีเสด็จเลียบพระนคร โดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค เนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562
มรดกทางอารยธรรม ความสวยงามทางวัฒนธรรมไทยที่สั่งสมมาหลายร้อยปี
หลักฐานอ้างอิงประวัติศาสตร์ความเจริญรุ่งเรืองของแผ่นดินที่บรรพบุรุษได้สร้างบ้านแปงเมืองไว้ให้คนรุ่นใหม่ได้สานต่อความเป็นราชอาณาจักรไทย
สิ่งดีๆที่ “ดิจิทัลดิสรัปชัน” ไม่สามารถทำลายล้างได้
ตรงกันข้ามกับ “โลกสมมติ” พัฒนาการตามยุคสมัยใหม่ที่วูบวาบฉาบฉวย นำคนรุ่นใหม่บางส่วนไปสู่สังคม “ไร้ราก” ขาดการเชื่อมโยงประวัติศาสตร์ความเป็นชาติ
มาไวไปไว ไม่จีรังยั่งยืน
โดยปรากฏการณ์เทียบเคียงชัดๆกับฉากสถานการณ์ทางการเมืองล่าสุดที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติเสียงข้างมาก 5 ต่อ 2 ให้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณายุบพรรคอนาคตใหม่ ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยพรรคการเมืองมาตรา 92 วรรคหนึ่ง (3) ประกอบมาตรา 93
จากกรณีพรรคอนาคตใหม่กู้ยืมเงินจากนาย ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าทีมสีส้ม เป็นเงินจำนวน 191,200,000 บาท เป็นการกระทำอันฝ่าฝืน พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองมาตรา 72
ส่อเข้าข่าย “นิติกรรมอำพราง”
ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ได้เป็นเรื่องเซอร์ไพรส์ เหนือการคาดหมาย
เพราะก่อนหน้านั้นก็มีลางบอกเหตุมาแล้วตามแนวโน้มสถานการณ์ที่ “ช่อ” น.ส.พรรณิการ์ วานิช ส.ส. บัญชีรายชื่อ โฆษกพรรคอนาคตใหม่ ฉวยเอกสารที่ปล่อยกันว่อนโซเชียลมีเดีย
...
แถลงโวยวาย ดักทาง กกต.ตั้งธงยุบพรรคอนาคตใหม่
แล้วผลการวินิจฉัย กกต.ก็ตรงตามแนวการวินิจฉัยในเอกสาร กกต.ที่หลุดออกมา
เรื่องของเรื่อง โฟกัสกระแสสื่อ สังคมส่วนใหญ่ก็ “แทงหวย” กันล่วงหน้า โอกาส “รอดยาก” จากหลักฐานชัดเจนที่นายธนาธรแจ้งบัญชีทรัพย์สินต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้กู้พรรคอนาคตใหม่ และนั่นก็ไม่ได้จัดเป็น 1 ใน 10 ที่มารายได้ของพรรคการเมือง
ตามท้องเรื่องมันจึงมีเครื่องหมายคำถามถึงเป้าหมายในการลงทุน
ที่แน่ๆตามกระบวนการคำตอบสุดท้ายต้องรอลุ้นศาลรัฐธรรมนูญจะพิพากษาตามสำนวนที่ กกต.ชงไปหรือไม่ ซึ่งถ้าเป็นไปในแนวเดียวกัน
พรรคอนาคตใหม่จะกลายเป็นพรรคอนาคตหมด
ตามบทกำหนดโทษใน พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 มาตรา 126 ที่ระบุว่าผู้ดำรงตำแหน่งในพรรคการเมืองผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 72 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้นั้น
แน่นอนในส่วนของคีย์แมนสำคัญอย่างนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรค “ช่อ” น.ส.พรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรค รวมถึงกรรมการบริหารพรรคอนาคตใหม่ หนีไม่พ้นโดนตัดสิทธิทางการเมือง
โทษ “ดองเค็ม” แบนยาวในสนามเลือกตั้ง
ส่วนพวกที่ไม่ใช่กรรมการบริหารพรรค ไม่เกี่ยวกับการทำนิติกรรมอำพรางน่าจะได้รับการ “ปล่อยผี” ส.ส.อนาคตใหม่จะกลายเป็นผึ้งแตกรัง วิ่งหาพรรคใหม่สังกัดภายใน 60 วัน ตามเงื่อนเวลารัฐธรรมนูญ
โดยปรากฏการณ์กระตุกแรงสั่นสะเทือนหลายแมกนิจูด
ตามรูปเกม คิวยุบพรรคอนาคตใหม่เขย่าให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองตามมาแน่
เบื้องต้นแกะรอยรูปแบบความเคลื่อนไหวของนายธนาธรที่ประกาศถอนสมอจากตำแหน่งกรรมาธิการฯ ในสภาประกาศเดินหน้าสู้เพื่อการเปลี่ยนประเทศ อารมณ์ต่อเนื่องกับนายปิยบุตรที่ปลุกกองเชียร์อย่าสยบยอมต่อเรื่องผิดปกติกลายเป็นปกติ หนังม้วนเก่าฉายซ้ำ แต่จะไม่จบเหมือนเดิม
เติมความเฮี้ยวด้วยการระดมแฮชแท็ก# “กลัวที่ไหน”
สัญญาณชัด ค่ายอนาคตใหม่พร้อมลุยปะฉะดะ ตามฟอร์มธรรมชาติเมื่อเกมในสภาถึงทางตัน มันก็ไม่มีหลักประกันเกมจะถูกลากออกมาเล่นกันบนถนน
ฝ่ายความมั่นคงต้องยกระดับการเฝ้าระวัง ประกบติดกันทุกฝีก้าว
ยุทธการจุดชนวนมวลชนเขย่าฝ่ายคุมเกมอำนาจเริ่มตั้งเค้า
และถือเป็นจังหวะเพิ่มแรงกดทับ ตามสถานการณ์รัฐบาลภายใต้การนำของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม กำลังเผชิญภาวะ “แกว่ง”
เรือเหล็กเจอสนิมเนื้อใน “รั่ว” ท่ามกลางภาวะเสียงปริ่มน้ำ
“บิ๊กตู่” เผชิญเกมการเมืองภายในพรรคร่วมรัฐบาล โดนฤทธิ์ของคนยี่ห้อประชาธิปัตย์ตีรวนเกมโหวตสกัดการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญ “เช็กบิล ม.44”
ฝ่าดงนักการเมืองล้อมกรอบ “เอาคืน” ไปได้ แบบฉิวเฉียด
สถานการณ์แบบต้องวิ่งล็อบบี้กันหน้างานหา เสียงงูเห่าฝ่ายค้านมาช่วยเติมเสียงฝั่งรัฐบาลในรายการโหวตคิวสำคัญเพื่อไม่ให้สภาล่มรัฐบาลแพ้โหวต
อารมณ์แค้นฝังใจ ชัง “บิ๊กตู่” สืบทอดอำนาจ หมั่นไส้ยี่ห้อพลังประชารัฐแย่งฐานเสียงปักษ์ใต้ กทม.
คนยี่ห้อประชาธิปัตย์พร้อม “หักดิบ” แกนนำรัฐบาลได้ตลอด
อาการขบเหลี่ยมในพรรคร่วมรัฐบาลยังโยงมา
ถึงสถานการณ์เชิงบริหารในทีมเศรษฐกิจที่แตกออกเป็น 3 ก๊ก พลังประชารัฐคุมกระทรวงการคลัง อุตสาหกรรม พลังงาน ประชาธิปัตย์ ยึดกระทรวงพาณิชย์ เกษตรฯ ส่วนภูมิใจไทยล็อก กระทรวงการคมนาคม การท่องเที่ยวฯ
อาณาจักรใคร อาณาจักรมัน ไม่เกี่ยวกัน
สถานการณ์แบบที่ภาคเอกชน สภาอุตสาหกรรมฯ สภาหอการค้าฯ เรียกร้องรัฐบาลให้เพิ่มการขับเคลื่อน
ในทุกมิติ ไม่ใช่เห็นแค่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจขาเดียวผ่านกระทรวงการคลัง นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง ชงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ “ชิมช้อปใช้” เข้า ครม.แทบจะรายสัปดาห์
ขณะที่เครื่องยนต์หลักคือภาคการส่งออก โดยกระทรวงพาณิชย์แทบไม่ขยับเขยื้อน ภาคการลงทุนเมกะโปรเจกต์กระตุ้นเศรษฐกิจภายในของกระทรวงคมนาคมก็ติดลูกกั๊ก ยึกยักปมตีเมืองขึ้น
ดึงเกม ยื้อหม้อข้าว ตุนเสบียง ถอนทุนเลือกตั้ง
พานให้การบริหารเนื้องานสะดุด แผนยุทธศาสตร์ ชาติ 20 ปี โครงการพัฒนาการทางเศรษฐกิจระยะยาวรองรับโลกอนาคตที่ปักหมุดมาตั้งแต่รัฐบาล “ประยุทธ์ภาค 1”
ถึงจุดที่โพลทุกยี่ห้อ คนไม่ปลื้มผลงานรัฐบาล
โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจที่ “บิ๊กตู่” ยึดแป้นเป็นกัปตันทีม คุมเกมเอง
ประเมินตามสถานการณ์ก็น่าเห็นใจผู้นำรัฐบาลที่อยู่ในภาวะลำบาก ไฟต์บังคับมีทางเดียวคือต้อง ปรับเปลี่ยนแนวทางการบริหาร เร่งปั่นผลงาน
นั่นก็คือต้องปรับ ครม.จัดที่จัดทางกันใหม่
แต่ก็อีกนั่นแหละในภาวะรัฐบาลผสมเสียงปริ่มน้ำ จะแตะโควตาพรรคร่วมก็กลัวเรือเหล็กล่ม
ต้องยอมโดนข่ม ทนให้พรรคร่วมรัฐบาลขี่คอ
นั่นเลยทำให้เห็นอารมณ์ “บิ๊กตู่” ที่เปลี่ยนไปเป็นคนละคน จาก “ประยุทธ์ภาคแรก” ผู้นำเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ปากไว คิดเร็ว ทำเร็ว แต่พอมา “ประยุทธ์ ภาค 2” โดยสภาพผู้นำรัฐบาลผสม
“บิ๊กตู่” กลายเป็นคนคิดช้า ไม่กล้าตัดสินใจ
อย่างไรก็ตาม ภายใต้เงื่อนไขสถานการณ์ไฟร้อน จ่อลามทุกจุด ด้านหนึ่งหัวเชื้อเกมปลุกมวลชนจากการยุบพรรคอนาคตใหม่ มุมหนึ่งก็ปัญหาการเมืองพรรคร่วมรัฐบาลไปกันคนละทาง จ้องเจาะยางกันในสภา หันไปที่ทีมเศรษฐกิจก็ผิดที่ผิดทางไปกันละทิศ
ถ้ายังไม่ปรับก็ยากจะปั่นเนื้องานออก
โดยจังหวะสถานการณ์ ณ วันนี้ นายกฯเลือกประคองเสถียรภาพรัฐบาล ถึงจะรอดจากเรือเหล็กปริ่มน้ำ แต่ต้องเจอแรงกระแทกจากชาวบ้านไม่พอใจรัฐบาลงานไม่เดิน
ดีไม่ดี จะพานให้หัวเชื้อชนวนมวลชนของทีมสีส้มจุดติดง่ายกว่าปกติ
สภาพ “บิ๊กตู่” เหมือนคนโดนล็อกด้วยระเบิดรอบตัว ต้องตัดสินใจ “ถอดชนวน” ให้ถูกจุด ทันเวลา
ถ้าพลาดก็ตูม พังกันทั้งบาง
อย่างไรก็ตาม โดยสถานการณ์แต้มบวกที่มาช่วยประคองได้ทัน เมื่อนายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง เปิดเผยสถาบัน S&P ได้มีการปรับมุมมองความน่าเชื่อถือของเศรษฐกิจไทยจากระดับ “มีเสถียรภาพ” เป็น “เชิงบวก” บ่งบอกความมั่นใจต่างประเทศต่อเศรษฐกิจไทย
อานิสงส์บุญเก่าจากรัฐบาล “ประยุทธ์ภาคแรก” ที่ “บิ๊กตู่” กับ “สมคิด” ช่วยกันลากเศรษฐกิจพ้นปากเหว
ประกอบกับข่าวดีล่าสุดผู้นำสหรัฐอเมริกากับผู้นำจีนได้บรรลุข้อตกลง ปรับลดโทนสงครามการค้าโลกลงระดับหนึ่ง ทำให้ปัจจัยภายนอกประเทศยังเอื้อ เหลือแค่ปัจจัยการเมืองภายใน
ณ จุดนี้ “บิ๊กตู่” ยังมีเครดิต ต้องรีบคิด รีบตัดสินใจก่อนจะสาย
ถ้าถึงจุดเสื่อม จะปรับเปลี่ยนอะไรก็คงไม่ทันแล้ว.
"ทีมการเมือง"