แก้นิสัยก่อน...
ผลสำรวจความคิดเห็นของ “ซูเปอร์โพล” ได้คำตอบว่า “ควรแก้นิสัย ส.ส. ก่อนแก้ไขรัฐธรรมนูญ” นั่นเป็นความรู้สึกของประชาชนที่เห็นและเป็นอยู่ของการเมืองไทย
ไม่รู้ “คนการเมือง” จะรู้สึกรู้สากันมากน้อยแค่ไหน
ก่อนการเลือกตั้งก็ประกาศเจตนารมณ์ว่าจะทำอย่างนั้นอย่างนี้ เพื่อประโยชน์ต่อชาติประชาชน ทำนองว่าเป็น “เทวดา” ที่จะมาจุติ
นี่แค่เข้าทำงานการเมืองยังไม่ทันไรก็ “ออกลาย” ให้เห็นทั้งปูมหน้าและปูมหลังโดยพลัน สร้างความวุ่นวายไม่จบสิ้น
งานในสภาซึ่งถือเป็นหน้าที่สำคัญของ ส.ส.แทนที่จะเป็นไปอย่างสร้างสรรค์ ตรงกันข้ามกลับสร้างปัญหา แล้วคิดว่าประชาชนไม่รู้หรอกหรือ
เอาง่ายๆอย่างเรื่องคณะกรรมาธิการชุดหนึ่งซึ่งมีหน้าที่ในด้านการตรวจสอบกฎหมาย กำหนดให้สามารถเชิญบุคคลมาให้ข้อมูลในเรื่องนั้นๆ เพื่อนำไปประกอบการพิจารณา
ปรากฏว่าสร้างความวุ่นวายไม่รู้จบ กลายเป็นเครื่องมือเพื่อทำลายกันทางการเมือง เอาตำแหน่งไปใช้ที่ไม่ตรงกับเจตนารมณ์แม้แต่น้อย
ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านต่อสู้กันทุกหยด
ว่ากันว่าซีกรัฐบาลนั้นค่อนข้างจะ “ซีเรียส” พอสมควรต่อ กมธ.ชุดนี้ นอกจากจะเปลี่ยน กมธ. 2 คนจากพลังประชารัฐแล้วตั้งอีก 2 คนเข้าไปแทนที่
แต่ดูเหมือนว่าทั้ง 2 คนที่ตั้งใหม่นั้นกลับเลือกคนที่มีแผลเต็มตัว คนหนึ่งก็เคยแสดงอาการเบ่งที่ภูเก็ต
อีกคนก็ครอบครองพื้นที่ ส.ป.ก.4-01 นับพันๆไร่
อาศัยปากกล้าชนดะ...ด้วยคุณสมบัติอย่างนี้แหละ...
อีกทั้งเป็นเรื่องวงในที่ขมวดไปถึงพรรคร่วมอื่นๆว่า กมธ.ชุดนี้ในซีกรัฐบาลจะต้องยกมือให้พวกเดียวกัน ไม่ใช่ไปสนับสนุนฝ่ายค้าน
...
อย่างนี้ไงประชาชนจึงเห็นว่าควรแก้ “นิสัยคน” ก่อนแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็เท่ากับว่าให้ความสำคัญในเรื่องนี้มากกว่า แต่ก็ไม่ปฏิเสธการแก้ไขรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด
อย่าง “ชวน หลีกภัย” ประธานสภาผู้แทนฯ ที่มีประสบการณ์การเมืองมาอย่างโชกโชนและมีตำแหน่งทางการเมืองตั้งแต่นายกฯ รัฐมนตรีหลายกระทรวง และยังเคยเป็นประธานสภาผู้แทนฯมาแล้วด้วย จึงมองเห็นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
ชี้ไปที่ “คน” นี่แหละคือปัญหาสำคัญ
เพราะแม้รัฐธรรมนูญจะดีแค่ไหน แต่หากนักการเมืองยังไม่เปลี่ยนนิสัย ไม่เปลี่ยนพฤติกรรมก็ยากที่จะพัฒนาการเมืองให้ไปสู่จุดที่ดีขึ้นมากกว่านี้
ที่ว่าอย่างนี้ไม่ได้หมายถึงนักการเมืองทั้งหมด เพราะยังมีไม่น้อยที่คิดดี ทำดี อยู่ในร่องในรอย แต่ก็มิอาจจะช่วยอะไรได้มากนัก
แต่อีกส่วนหนึ่งดูไปดูมาแล้วไม่ต่างไปจาก “นํ้าเสีย” ที่แสดงบทบาทมากกว่า “นํ้าดี” จนทำให้การเมืองไทยต้องประสบปัญหามาตลอด
นี่ยังไม่นับรวมพวกทุจริตคอร์รัปชัน การแสวงหาอำนาจอย่างเอาเป็นเอาตาย อ้างประชาชนต้องการอย่างนั้นอย่างนี้
ว่าไปแล้วพูดถึงเรื่องนี้ก็คงจะไม่มีประโยชน์เท่าใดนักเพราะ “ดื้อยา” กันไป จนมองว่านี่คือพฤติกรรมของนักการเมืองปกติ
ดูๆไปแล้วการเมืองไทยแม้เข้าสู่ระบบ แต่ก็ยังมองไม่เห็นอนาคตว่าจะพัฒนาไปได้มากน้อยแค่ไหน
เพราะอาการต่างๆที่เกิดขึ้นร่อแร่เต็มทีแล้ว.
“สายล่อฟ้า”