ค้าข้าว-รถไฟ-อีอีซี ส่วนไอเอ็มเอฟชม เศรษฐกิจพอเพียง ขอเผยแพร่ทั่วโลก

“บิ๊กตู่” แก้มปริ “หลี่ เค่อเฉียง” หวานใส่ จีนพร้อมผลักดันไทยทุกเรื่อง เปรียบสัมพันธ์ สองชาติดั่งเรือใหญ่ที่มั่นคง “สี จิ้นผิง” สุดแฮปปี้ปักหมุด RCEP สำเร็จ นายกฯไทยเจียมตัวแค่มดตัวน้อย แต่พร้อมช่วยพญาราชสีห์ ไอเอ็มเอฟยาหอมเชื่อมั่นศักยภาพไทย “ชวน” นำทีมสภาฯต้อนรับชื่นมื่น ปชป.มีมติส่ง “อภิสิทธิ์” นั่งประธาน กมธ.ศึกษา แก้ รธน. มีชื่อ “บัญญัติ-นิพิฏฐ์” ร่วมทีม “เทพไท” ดักคอ พปชร.ขืนดันทุรังยึดโควตา ปธ.มีป่วนแน่ พท.ไม่ยุ่งปม “มาร์ค” ให้รัฐบาลไปฟาดฟันกันเอง ส่ง “พงศ์เทพ-โภคิน-ชัยเกษม” ร่วมแจม อนค.แย้มชื่อ “ธนาธร” นั่งศึกษาแก้ รธน. “ปิยบุตร” รอจั่วหัวล้างคำสั่ง คสช. “เสรี” ลั่น ส.ว.ไม่เล่นด้วยเร่งแก้ไข รธน. อดีต กรธ.ห่วงรื้อทั้งฉบับจุดไฟขัดแย้ง “ศักดิ์สยาม” สั่งฟ้องสื่อทีวี ฉุนปูดข้อมูลพาดพิง

ผลความสำเร็จในการเป็นเจ้าภาพจัดประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 35 สร้างความปราบปลื้มให้กับทางฝ่ายรัฐบาลเป็นอย่างมาก ขณะที่การเมืองในสภาฯเริ่มกลับมาร้อนแรงเพราะมีวาระร้อนรออยู่ โดยเฉพาะญัตติเสนอตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาปัญหาและแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญ

ไอเอ็มเอฟยาหอมเชื่อมือ “ลุงตู่”

เมื่อเวลา 08.00 น. วันที่ 5 พ.ย. ที่ห้องรับรอง 1 ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ให้การต้อนรับนางคริสตาลินา กอร์เกียวา กรรมการจัดการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ที่เข้าเยี่ยมคารวะในโอกาสเยือนไทยเพื่อเข้าร่วมประชุมสุดยอดอาเซียน และร่วมประชุมกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการหารือว่า นางคริสตาลินายินดีกับความสำเร็จและชื่นชมบทบาทไทย โดยเฉพาะการพัฒนาอย่างยั่งยืน และการร่วมมือด้านเศรษฐกิจในภูมิภาค เชื่อมั่นรัฐบาลไทยมีเสถียรภาพส่งผลดีต่อการพัฒนาสำคัญทางเศรษฐกิจ และเชื่อมั่นศักยภาพไทยสามารถพัฒนานโยบายด้านการเงินได้อีก ขณะที่ไทยยืนยันพร้อมปฏิบัติตามคำแนะนำในทุกมิติ

...

ชื่นชมหลักเศรษฐกิจพอเพียง

เมื่อถามว่า ไอเอ็มเอฟต้องการให้ ธปท.ลดอัตราดอกเบี้ยตามเฟดใช่หรือไม่ นางนฤมลตอบว่า ไม่ได้พูดชัดเจน เพียงแต่บอกว่าไทยยังมีช่องทางปรับได้อีก เพื่อกระตุ้นให้เกิดการลงทุนมากขึ้น ทั้งนี้นางคริสตาลินาชื่นชมบทบาทไทยในเวทีอาเซียนที่มีผลสำเร็จเป็นแผนแม่บทเป็นรูปธรรม และก่อนมาไทยได้อ่านหนังสือทำให้ได้เรียนรู้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ของในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่งไอเอ็มเอฟจะนำไปเผยแพร่ให้ทั่วโลกได้รับรู้ เพราะสอดคล้องกับหลักการของสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ที่ต้องการให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังการหารือ พล.อ.ประยุทธ์ได้เดินจูงมือพานางคริสตาลินาเดินชมรอบทำเนียบฯ โดยนางคริสตาลินากล่าวชื่นชมความสวยงามของสถาปัตยกรรม รอบๆทำเนียบฯ

เปิดทำเนียบฯรับ “หลี่ เค่อเฉียง”

ต่อมาเวลา 10.30 น. พล.อ.ประยุทธ์ให้การต้อนรับนายหลี่ เค่อเฉียง นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีน ในโอกาสเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ในฐานะแขกของรัฐบาล มีพิธีตรวจแถวกองทหารเกียรติยศ ที่สนามหน้าหน้าตึกไทยคู่ฟ้า ทั้งนี้ ระหว่างตรวจแถวกองทหารเกียรติยศ ปรากฏว่ามีฝูงนกนางแอ่นมาบินวนเวียนจำนวนมาก จากนั้นมีการหารือข้อราชการเต็มคณะ หลังเสร็จสิ้นการหารือ ผู้นำทั้งสองฝ่ายร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามความตกลงร่วมกัน 3 ฉบับ ได้แก่ 1.บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการส่งเสริมความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ วิชาการและนวัตกรรม 2.บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการแลกเปลี่ยนข่าวและข้อมูลข่าวสารระหว่างกรมประชาสัมพันธ์ กับสำนักข่าวซินหัว และ 3.บันทึกความเข้าใจระหว่างบริษัท เอสซีจี จำกัด มหาชน กับศูนย์ความร่วมมือทางนวัตกรรมแห่งสถาบันบันฑิตวิทยาศาสตร์จีน

ฝากดูแลข้าวยางนักลงทุนไทย

พล.อ.ประยุทธ์แถลงภายหลังการหารือว่า ทั้งสองฝ่ายเห็นความสำคัญส่งเสริมให้เกิดความเชื่อมโยงระหว่างกันมากขึ้น ตามยุทธศาสตร์และกรอบความร่วมมือต่างๆไม่ว่าจะเป็นแผนแม่บทว่าด้วยความเชื่อมโยงระหว่างกันในอาเซียน ค.ศ.2025 (MPAC 2025) และ ACMECS เป็นต้น กับข้อริเริ่ม “หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง” ของจีน สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ “Connecting the Connectivities” ที่ไทยเสนอ และเห็นพ้องเชื่อมกันระหว่างเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ของไทย กับกรอบความร่วมมือเขตอ่าวกวางตุ้ง-มาเก๊า-ฮ่องกง (จีบีเอ) ของจีน โดยเห็นพ้องจัดตั้งกลไกหารือระดับสูงระหว่างกันเพื่อขับเคลื่อน และได้เชิญชวนให้จีนขยายการลงทุนในไทย พร้อมฝากให้ช่วยดูแลภาคเอกชนไทยที่ลงทุนในจีน รวมถึงดูแลสินค้าเกษตร โดยเฉพาะข้าวและยางพารา

พร้อมรับแนวทางขจัดความจน

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวอีกว่า นายหลี่ เค่อเฉียง แสดงความพร้อมถ่ายทอดแนวปฏิบัติในเรื่องการขจัดความยากจนให้ไทย และเห็นพ้องส่งเสริมความร่วมมือด้านเศรษฐกิจดิจิทัลและเมืองอัจฉริยะ เพื่อสนับสนุนนโยบายไทยแลนด์ 4.0 และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาหมอกควันและฝุ่นละอองขนาดเล็กพีเอ็ม 2.5 ในด้านการเมืองและความมั่นคง และเห็นพ้องส่งเสริมความร่วมมือต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติ สนับสนุนการดำเนินความร่วมมือการบังคับใช้กฎหมาย การลงนามความตกลงทั้งสองฝ่าย สะท้อนถึงพัฒนาการความเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์อย่างรอบด้าน ที่จะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนทั้ง 2 ประเทศ และภูมิภาคโดยรวม

เปรียบสัมพันธ์สองชาติดั่งเรือ

ขณะที่นายหลี่ เค่อเฉียง กล่าวว่าทั้งสองฝ่ายบรรลุการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกัน สร้างความไว้เนื้อเชื่อใจด้านการเมือง โดยจีนพร้อมผลักดันไทยทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นโครงการอีอีซี ส่งเสริมความร่วมมือด้านการค้าข้าว อีคอมเมิร์ซ รวมถึงโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ซึ่งจีนมีศักยภาพส่งเสริมการพัฒนาของไทยมาก ได้เห็นเรือพาณิชย์วิ่งอยู่ในแม่น้ำเจ้าพระยาจำนวนมาก ทำให้คิดว่าหากทางการไทย จีนร่วมมือกัน จะเปรียบเสมือนเป็นเรือใหญ่ วิ่งเร็ววิ่งไกลอย่างมั่นคง ในอนาคตต้องวิ่งให้เร็วเหมือนเรือหางยาว

มั่นใจปีหน้ายิงเข้าประตู RCEP

นายหลี่ เค่อเฉียง กล่าวต่อว่า ขอแสดงความยินดีกับไทยอีกครั้งที่ประสบความสำเร็จในการเป็นเจ้าภาพ จัดการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 35 มีการประชุมผู้นำ 15 ประเทศผ่านเวทีอาร์เซ็ปต์ (RCEP) และบรรลุข้อตกลงร่วมกัน ภูมิภาคนี้เรามีประชากรมากที่สุด มีศักยภาพพัฒนามากที่สุด และมีความพร้อมสร้างเขตการค้าเสรีในภูมิภาคเอเชียตะวันออก ภายใต้สถาน-การณ์เศรษฐกิจโลกชะลอตัว เราจะร่วมมือกันรักษาความมั่นคงเพื่อพัฒนาภูมิภาค เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนต่อไป ความร่วมมือ RCEP ต้องใช้ความขยันหมั่นเพียรและอดทน การเจรจาระหว่างกัน เหมือนการเตะบอลเข้าประตู ขณะนี้บอลกำลังจะเข้าประตูแล้ว จึงได้ย้ำกับ พล.อ.ประยุทธ์ว่าเราต้องพยายามต่อไป ผลักดันให้ลูกบอลตกลงสู่พื้นเพื่อเข้าประตูไปในเร็ววัน มั่นใจว่าปีหน้า RCEP จะประกาศข้อตกลงร่วมกันอย่างเป็นทางการ เปิดกว้างไปสู่ทุกประเทศทั่วโลก

ไทยมดน้อยช่วยพญาราชสีห์

นายหลี่ เค่อเฉียงกล่าวด้วยว่า จีนยังคงแสวงหาความร่วมมือกับไทยต่อไป สร้างมิตรภาพระหว่างกันให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น เราจะเคารพบทบาทการเป็นศูนย์กลางอาเซียนของไทย พูดไปตั้งแต่แรกแล้วว่าจีนกับไทยได้ร่วมพายเรือลำเดียวกัน ถือเป็นพี่น้องกัน มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นต่อกัน เราจะมุ่งไปข้างหน้าที่มีอนาคตกว้างไกลรออยู่ โดยอาศัยหลักการที่มีความเสมอภาคต่อกัน เป็นหุ้นส่วนที่ดีต่อกัน ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ถึงกับยิ้มและกล่าวตอบรับทันทีว่า “โอเค เราเป็นเรือใหญ่ที่ต้องวิ่งให้เร็วเหมือนเรือหางยาวต่อไป” ทั้งนี้ในช่วงท้าย พล.อ.ประยุทธ์กล่าวสุภาษิตไทยต่อหลี่ เค่อเฉียงว่า “มดน้อยบางครั้งก็สามารถช่วยพญาราชสีห์ และพญาคชสารได้” อยากฟังสุภาษิตจีนบ้าง ซึ่งนายหลี่ เค่อเฉียง กล่าวว่า แม่น้ำเจ้าพระยาก็สามารถเชื่อมต่อไปถึงประเทศจีน ทำทั้งสองประเทศเจริญก้าวหน้าไปด้วยกันได้ ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ได้ทิ้งท้ายว่า “จะเป็นเรือเหล็กหรือเรือหางยาวเราจะไปด้วยกัน” จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์เป็นเจ้าภาพงานเลี้ยงอาหารกลางวันแก่นายกฯ จีนและคณะ ก่อนเดินทางกลับจีน

ขอบคุณคนไทยทุกคนที่ร่วมใจ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ยังโพสต์ลงเฟซบุ๊กส่วนตัวถึงความสำเร็จในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 35 ว่า ได้เสร็จสิ้นไปแล้วอย่างเรียบร้อย ไทยได้ส่งมอบตำแหน่งต่อให้กับประเทศเวียดนาม ขอบคุณพี่น้องชาวไทยทุกคนที่ได้ร่วมติดตามข่าว และร่วมกันเป็นเจ้าภาพที่ดี ขอบคุณเจ้าหน้าที่และทุกภาคส่วนที่เสียสละทำงานอย่างเต็มที่ ผ่านไปด้วยดีสมเกียรติ สร้างความประทับใจให้กับแขกของเรา รู้สึกดีใจและชื่นชมที่ได้เห็นความสามารถ ความเสียสละ และความสามัคคีของคนไทยที่ช่วยกันทำให้การประชุมครั้งนี้ประสบความสำเร็จ บรรลุตามเป้าหมาย

“ชวน” นำทีมสภาฯต้อนรับชื่นมื่น

ก่อนหน้านี้เวลา 09.25 น. ที่รัฐสภา นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้เเทนราษฎร และประธานรัฐสภาพร้อมคณะ อาทิ นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ผู้นำฝ่ายค้าน นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ให้การต้อนรับนายหลี่ เค่อเฉียง นายกฯจีน ที่เข้าเยี่ยมคารวะ โดยใช้เวลาพูดคุยประมาณ 30 นาที นายชวนกล่าวแสดงความยินดีในโอกาสครบ 70 ปี ของการสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน และขอบคุณในมิตรภาพที่จีนให้ความช่วยเหลือไทยในด้านต่างๆ พร้อมฝากความระลึกถึงนายลี่ จ้านซู ประธานสภาประชาชนแห่งชาติจีน และนายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน และกล่าวเรียนเชิญประธานสภาประชาชนฯเดินทางมาเยือนไทย เพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศต่อไป

หวังอย่างยิ่งจะได้ต้อนรับที่จีน

ด้านนายหลี่ เค่อเฉียง กล่าวว่า ความสัมพันธ์ของทั้ง 2 ประเทศ เป็นไปอย่างไว้เนื้อเชื่อใจกัน ทั้งสองฝ่ายสามารถพัฒนาความสัมพันธ์ในระดับทวิภาคีได้อย่างราบรื่น มีการแลกเปลี่ยนการเยือน ในทุกระดับ และมีเวทีพูดคุยหารือกันต่อเนื่อง จีนสนับสนุนบทบาทของอาเซียนและเอเชียตะวันออกในการพัฒนาความร่วมมือระหว่างกัน เพื่อประโยชน์ของทุกฝ่าย โอกาสนี้ได้นำความปรารถนาดีและความระลึกถึงจากประธานสภาประชาชนแห่งชาติจีน มายังนายชวน หลีกภัย และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้มีโอกาสให้การต้อนรับนายชวน ในการเดินทางไปเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีน

สื่อนอกตีข่าว “สี จิ้นผิง” สุดแฮปปี้

ขณะที่สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานเมื่อวันที่ 5 พ.ย. ว่า นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน แถลงระหว่างเป็นประธานเปิดงานนิทรรศการสินค้านำเข้าประจำปีที่นครเซี่ยงไฮ้ แสดงความหวังว่าความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ที่จีนสนับสนุนและผลักดัน จะมีการลงนามนำไปสู่การมีผลบังคับใช้ในเร็ววันนี้ หลัง RCEP ได้ข้อสรุปในที่ประชุมอาเซียน และหวังจะมีการลงนามกันที่เวียดนามในปีหน้า ผู้นำจีนระบุด้วยว่าจีนจะมีความสุขเพื่อทำข้อตกลงการค้ากับประเทศอื่นๆ เจ้าหน้าที่จีนจะเร่งเจรจาข้อตกลงด้านการลงทุนกับสหภาพยุโรป (อียู) และข้อตกลงการค้ากับญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ต่อไป

ครม.ยังไม่วางตัว กมธ.แก้ รธน.

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะที่ปรึกษาวิปรัฐบาล กล่าวว่า จะหารือกับนายวิรัช รัตนเศรษฐ ประธานวิปรัฐบาล ก่อนการประชุม ครม.วันที่ 6 พ.ย. เพื่อรับทราบว่ามีเรื่องไหนบ้างที่ต้องนำเข้ารายงานต่อที่ประชุม ครม. เมื่อถามถึงกรณีการตั้งประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาปัญหาและแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญ ต้องรายงานต่อที่ประชุม ครม.ด้วยหรือไม่ นายเทวัญตอบว่า ในส่วนของ ครม.ยังไม่ได้วางตัวบุคคล ต้องรอความชัดเจนตัวเลขสัดส่วนของแต่ละพรรคก่อน เมื่อทราบแล้วจะนำรายงานต่อ ครม.ให้พิจารณามีมติมอบหมายบุคคลไปทำหน้าที่ดังกล่าว

“ชวน” ไม่พูดชื่อ “อภิสิทธิ์” มาแรง

ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกระแสข่าวการเสนอชื่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นประธานคณะ กรรมาธิการวิสามัญศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ว่า เป็นเรื่องของสภาฯ เมื่อถามว่า ฝ่ายค้านและกระแสสังคมเห็นด้วย นายชวนตอบว่า ไม่ขอแสดงความเห็น เรื่องนี้ แม้ล่าสุดเพิ่งได้เจอนายอภิสิทธิ์ในงานแสดงมุทิตาจิตเนื่องในวันคล้ายวันเกิดของศาสตราจารย์เกียรติคุณ นพ.อรรถสิทธิ์ เวชชาชีวะ บิดานายอภิสิทธิ์ ครบ 84 ปี เมื่อวันที่ 1 พ.ย. แต่ไม่ได้พูดคุยกันในเรื่องดังกล่าว และหลังจากวันนั้นไม่ได้พูดเรื่องนี้อีก

ดักคอ พปชร.นั่งหัวโต๊ะมีป่วนแน่

นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า กระแสการผลักดันนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นประธาน กมธ. แก้ไขรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่ข้อเสนอของพรรค แต่นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ เป็นผู้ริเริ่มเสนอจนมีเสียงตอบรับจากพรรคการเมืองต่างๆ รวมถึงจาก ส.ว.ตามมา จนพรรคประชาธิปัตย์ต้องหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพิจารณา ส่วนที่พรรคพลังประชารัฐออกมาท้วงติงเรื่องโควตาพรรคแกนนำรัฐบาลนั้น ก็เป็นสิทธิของเขา แต่ไม่ได้เป็นสูตรตายตัวเสมอไป อยากให้พิจารณาความเหมาะสมของบุคคลที่จะมานั่งตำแหน่งประธานฯมากกว่า หากตำแหน่งประธานชุดนี้เป็นคนของพรรคพลังประชารัฐ อาจเกิดความขัดแย้งและการไม่ยอมรับจากพรรคฝ่ายค้าน หรือกลุ่มต่างๆ และอาจเป็นจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งรอบใหม่ อยากเรียกร้องพรรคพลังประชารัฐพิจารณาให้รอบคอบ ขอให้เห็นแก่บรรยากาศทางการเมือง และการขับเคลื่อนของ กมธ.ชุดนี้

มติ ปชป.ส่ง “มาร์ค” ปธ.แก้ รธน.

ต่อมาเวลา 14.00 น. นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ประธาน ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ เป็นประธานการ ประชุม ส.ส.พรรค เพื่อพิจารณาการเสนอญัตติการตั้ง กมธ.วิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหาและแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ใช้เวลาหารือร่วม 3 ชั่วโมง จากนั้นนายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า ที่ประชุมพรรคมีมติสนับสนุนให้ตั้ง กมธ.ดังกล่าว และมีมติสนับสนุนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นประธาน กมธ. และมอบหมายให้นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ส.ส.นครศรีธรรมราช ประธานวิปพรรคประชาธิปัตย์ ไปทำความเข้าใจกับ วิปรัฐบาล และพรรคการเมืองอื่น เพื่อให้ทุกพรรค เห็นพ้องต้องกัน

มีชื่อ “บัญญัติ–นิพิฏฐ์” ร่วมทีม

นายราเมศกล่าวต่อว่า สำหรับสัดส่วน กมธ.ชุดนี้ พรรคประชาธิปัตย์ได้รับโควตา 4 คน จะเหลืออีก 3 คน ส่วนการที่พรรคพลังประชารัฐแสดงท่าที คัดค้านการให้นายอภิสิทธิ์เป็นประธาน กมธ.นั้น ที่ประชุมพรรคไม่ได้หารือ เพราะถือเป็นสิทธิของเขา เราไม่ก้าวล่วงพรรคอื่น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า รายชื่อของผู้ที่จะเป็น กมธ.อีก 3 คนในสัดส่วนพรรคประชาธิปัตย์ได้มีการพูดคุยของผู้ใหญ่ในพรรคแล้วว่า หากนายอภิสิทธิ์ตอบรับเป็น กมธ. จะให้นายอภิสิทธิ์คัดเลือกบุคคลที่จะเป็น กมธ.อีก 3 คนเอง เพื่อทำงานเป็นทีม ทั้งนี้ในที่ประชุมพรรคมีการเอ่ยถึงชื่อ อาทิ นายบัญญัติ บรรทัดฐาน ส.ส.บัญชีรายชื่อ และอดีตหัวหน้าพรรค นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรค เป็นต้น

ปม “มาร์ค” ให้ รบ.ไปฟาดกันเอง

ที่พรรคเพื่อไทย มีการประชุมวิปฝ่ายค้าน เพื่อพิจารณาวาระสำคัญ อาทิ การยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล สัดส่วนคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาวิธีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มีนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย เป็นประธาน ต่อมา น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ เลขาธิการพรรคเพื่อไทย แถลงว่า การกำหนดสัดส่วนกรรมาธิการศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญจำนวน 49 คน เป็นจำนวนที่เหมาะสม และฟากรัฐบาลจะเป็นตัวตั้งสำคัญในการเสนอใครขึ้นมาเป็นประธาน กมธ.ชุดนี้ เพราะมีสัดส่วนกรรมาธิการ มากกว่า เมื่อถามว่าดูเหมือนพรรคพลังประชารัฐจะไม่สนับสนุนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ น.อ.อนุดิษฐ์ตอบว่า เป็นเรื่องของแต่ละพรรค แต่เมื่อตั้งเป็น กมธ.แล้ว การออกสิทธิลงมติจะไม่ใช่เรื่องของพรรค การเมืองแล้ว สำหรับพรรคเพื่อไทยมีบุคลากรที่มีความรู้ด้านกฎหมายหลายคน อาทิ นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา นายโภคิน พลกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรี นายชัยเกษม นิติสิริ กรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย ถือว่าเป็นบุคลากรสำคัญของพรรค ที่สามารถเข้าไปทำหน้าที่ได้

มติเอกฉันท์ยื่นซักฟอกแน่ปีนี้

น.อ.อนุดิษฐ์กล่าวว่า ส่วนประเด็นการยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ จากการรวบรวมพยานหลักฐานหลังปิดสมัยประชุม 7 พรรคฝ่ายค้านได้รวบรวมความหนักแน่นของข้อมูลมาประมวล และประเมินร่วมกัน ที่ประชุมวิปฝ่ายค้านวันนี้มีมติเป็นเอกฉันท์ว่าควรยื่นภายในปี 2562 ส่วนจะยื่นเมื่อไหร่ จะอภิปรายเป็นรายบุคคลหรือทั้งคณะ รวมถึงมีรายละเอียดอย่างไรนั้น จะประชุมกันอีกครั้งเพื่อหาข้อสรุป แต่พรรคฝ่ายค้านทุกพรรคมองความสำคัญของข้อมูลเป็นเรื่องสำคัญ โดยข้อมูลที่จะอภิปรายต้องหนักแน่นพอ

ติวเข้ม ส.ส.รับวาระร้อนสภาฯ

เลขาธิการพรรคเพื่อไทยกล่าวต่อว่า ส่วนการเรียกประชุม ส.ส.ของพรรคในวันเดียวกันนี้ เพื่อทำความเข้าใจเตรียมความพร้อมเปิดสมัยประชุม เนื่อง จากมีเรื่องสำคัญเข้าสู่การพิจารณาหลายเรื่อง ทั้งการรายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับการเดินหน้าแผนการ ปฏิรูปประเทศในรอบ 3 เดือน ญัตติตั้งกรรมาธิการ วิสามัญศึกษาผลกระทบจากบรรดาประกาศคำสั่งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) คงมีสมาชิกสนใจอภิปรายกันมาก เพราะผลกระทบจากคำสั่ง คสช.มีจำนวนมาก รวมถึงญัตติการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เราจึงต้องเตรียมความพร้อม ส.ส.ก่อนทำหน้าที่

ตั้งท่าเท้าความยุครัฐบาล คสช.

นายสุทิน คลังแสง ประธานวิปฝ่ายค้าน กล่าวว่า เรื่องการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เรายึดกรอบในเรื่องของข้อหา และหลักฐาน จะเป็นการอภิปรายที่มาตรฐาน อาจเปลี่ยนไปจากเดิม ที่ผ่านมาเราเน้นเรื่องการทุจริตเป็นหลัก แต่ครั้งนี้จะมองไปถึงความผิดพลาด ความสามารถในการบริหารประเทศ ที่ทำลายเครดิตประเทศให้ตกต่ำ โดยยึดฐานความผิดมาจากระยะเวลา 5 ปีที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา บริหารประเทศมา จะเป็นการอภิปรายผสมผสานกันไปทั้งรัฐบาลที่ผ่านมาและรัฐบาลปัจจุบัน เนื่องจากคนเก่าสร้างความผิด และคนใหม่มาต่อยอดความผิด ดังนั้นต้องอภิปรายควบคู่กันไป บางกรณีความผิดทำกันหลายคน บางเรื่องโยงไปถึงหัวหน้ารัฐบาลที่ดึงลูกน้องมาทำความผิด แต่บางเรื่องเป็นความผิดส่วนบุคคล กรอบเวลาคร่าวๆที่เราเห็นว่าเหมาะสมคือ วันที่ 18-19-20 ธ.ค.นี้

ลั่นข้อมูลที่มีถึงขั้นผลักหัวคะมำ

เมื่อถามว่า ตั้งเป้าว่าจะล้มรัฐบาลได้หรือไม่ นายสุทินตอบว่า ไม่มีเจตนาต้องการล้มรัฐบาล แต่ถ้าชี้แจงไม่ได้แล้วทำความผิดจริง เขาจะล้มด้วยตัวของเขาเอง โอกาสในการล้มรัฐบาลโดยการยกมือโหวตเป็นไปได้น้อยอยู่แล้ว ที่ผ่านมาไม่เคยมีรัฐบาลไหนล้มด้วยการยกมือในสภาฯ แต่จะเพลี่ยงพล้ำจากในสภาฯแล้วไปล้มข้างนอก เหมือนเปิดแผลในสภาฯแล้วไปเน่าข้างนอก เชื่อว่าปัจจุบันพลังโซเชียลจะเป็นม็อบที่ใหญ่ที่สุด ที่จะทำให้รัฐบาลหมดความ ชอบธรรมบริหารประเทศ เรามีหลักฐานแน่นอน เพราะมีข้อมูลเชื่อมโยงไปถึงการทุจริต ถ้าไม่มีเราไม่กล้าเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ วันนี้เราสรุปกันได้แล้ว ว่าข้อมูลที่มีอยู่จะเป็นการผลักให้รัฐบาลถึงหัวคะมำ

วอนลดเงื่อนไขศึกษาแก้ รธน.

นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยและพรรคฝ่ายค้านไม่ได้สร้างเงื่อนไขที่เป็นอุปสรรคต่อการศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตรงกันข้ามกับท่าทีพรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะพรรคพลังประชารัฐที่ตั้งใจตีรวนตั้งแต่ยังไม่เริ่ม แต่ไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมาย เพราะถ้าไม่ได้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ โอกาสจะได้เป็นรัฐบาลคงไม่มี จึงต้องพิทักษ์รัฐธรรมนูญฉบับนี้ถึงที่สุด ขณะนี้เริ่มมีการปล่อยข่าวลักษณะว่าถ้าแก้รัฐธรรมนูญเมื่อไหร่ความขัดแย้งรอบใหม่จะกลับมา ทุกฝ่ายควรลดเงื่อนไขเพื่อนำไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นรัฐธรรมนูญของประชาชน โดยประชาชนและเพื่อ ประชาชนอย่างแท้จริง

“ปิยบุตร” จั่วหัวล้างคำสั่ง คสช.

ที่พรรคอนาคตใหม่ นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ กล่าวว่า พรรคเตรียมผู้อภิปรายในญัตติเสนอตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อศึกษาผลกระทบการใช้อำนาจและการออกประกาศ คำสั่งของ คสช. ไว้ทั้งหมด 10 คน จะเป็นคนเปิดประเด็นเองว่าคำสั่ง คสช.ส่งผลกระทบอะไรบ้าง จากนั้นจะพูดถึงเรื่องสิทธิเสรีภาพประชาชน เสรีภาพของสื่อ รวมถึงการออกคำสั่งเพื่อเอื้อกลุ่มทุนขนาดใหญ่ การแทรกแซงองค์กรอิสระ และองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ญัตตินี้มีความสำคัญ เพราะตลอด 5 ปีที่ผ่านมาเราไม่มีสภาฯ ที่จะวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของ คสช.ได้เต็มที่ ครั้งนี้อาจเรียกได้ว่าเป็นการอภิปรายไม่ไว้วางใจ คสช. ย้อนหลังถึงผลงานในอดีตที่ยังส่งผลกระทบถึงปัจจุบัน อาจใช้เวลาพอสมควร อาจยาวไปจนถึงวันที่ 7 พ.ย.

แย้มชื่อ “ธนาธร” ศึกษาแก้ รธน.

เมื่อถามว่าญัตตินี้ถือเป็นหนึ่งในประเด็นที่ใช้อภิปรายไม่ไว้วางใจ ตั้งใจเจาะจงไปที่ตัวบุคคลหรือไม่ นายปิยบุตรตอบว่า ญัตตินี้เน้นไปที่คำสั่งคสช.ก่อน ยังไม่เน้นตัวบุคคล เป็นการอุ่นเครื่องก่อนยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ เมื่อถามถึงสัดส่วน กมธ.ศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญวางแผนจัดสรรอย่างไร นายปิยบุตรตอบว่า คงแบ่งตามสัดส่วนเดิม คือพรรคอนาคตใหม่ได้ประมาณ 6 ที่นั่ง แต่ต้องดูที่ประชุมว่าจะเสนออย่างไร ที่ตนมาเป็น ส.ส.เพื่อเข้ามาผลักดัน เรื่องกฎหมาย และการแก้ไขรัฐธรรมนูญ คิดว่าจะเสนอตัวเองเข้าไปนั่งใน กมธ.ชุดนี้ด้วย ส่วนนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค กำลังคิดจะเข้าร่วมด้วย แต่ยังติดภารกิจที่ปรึกษา กมธ.งบประมาณฯอยู่อย่าเพิ่งโฟกัสว่าใครนั่งประธาน

เมื่อถามว่ามีการเสนอชื่อนายอภิสิทธิ์เวชชาชีวะ เป็นประธาน กมธ.ศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ นายปิยบุตรตอบว่า สิ่งสำคัญคือตั้ง กมธ.ให้ได้ก่อน ถ้าประเด็นการแก้รัฐธรรมนูญถูกเปลี่ยนไปโฟกัสว่าใครเป็นประธาน สังคมอาจคลางแคลงใจว่าไม่มุ่งเน้นประเด็นการแก้รัฐธรรมนูญ แต่ไปถกเถียงตีกันว่าใครจะเป็นประธาน เราควรทำให้ กมธ.ชุดนี้เกิดขึ้นให้ได้ เพื่อผลักดันในนามของสภาผู้แทนราษฎรต่อไป ที่จะทำให้สังคมเข้าใจว่าเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญไม่ใช่เรื่องของพรรคใดพรรคหนึ่ง หากเราหาฉันทามติร่วมกันได้จะเป็นผลงานร่วมกัน ที่เห็นพ้องต้องกันว่าจะแก้ในประเด็นใดบ้าง และ ส.ว.จะถูกแรงกดดันว่าต้องเอาด้วย

ส.ว.ยังไม่เล่นด้วยเร่งแก้ไข รธน.

ขณะที่นายเสรี สุวรรณภานนท์ ประธานคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมืองและการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภา กล่าวว่า ส.ว.ยังไม่มีความพร้อมที่จะให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะยังไม่ชัดเจนว่าจะแก้ไขประเด็นใด ยังไม่เห็นปัญหาของการใช้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ และ ส.ว.ยังมีหน้าที่ต้องควบคุมดูแลความเรียบร้อยในช่วงเปลี่ยนผ่านประเทศ 5 ปี ให้ดำเนินไปด้วยความสงบเรียบร้อย ไม่ใช่เรื่องหวงอำนาจ ดังนั้น ส.ว.ยังไม่ผลีผลามจะไปเข้าร่วมหรือเสนอความเห็นใดๆเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เราต้องรอบคอบเพราะต้องใช้เสียง ส.ว. 1 ใน 3 ร่วมออกเสียงแก้รัฐธรรมนูญวาระ 1 และ 3 ที่สำคัญประเด็นที่จะแก้ไขต้องเป็นประโยชน์อย่างแท้จริง ไม่ใช่เรื่องการลิดรอนอำนาจ ส.ว. ถ้าเสนอมาแบบนี้ ส.ว.ไม่ร่วมมือด้วยแน่นอน

กรธ.ห่วงรื้อทั้งฉบับจุดไฟขัดแย้ง

นายอุดม รัฐอมฤต อดีตกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) กล่าวว่า ประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องดูว่าเป็นไปเพื่อประโยชน์ของส่วนรวมหรือไม่ เท่าที่ฟังดูหลายเรื่องเป็นเรื่องที่สังคมวิพากษ์-วิจารณ์ เช่น ระบบเลือกตั้งแบบบัตรใบเดียว การโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี เห็นว่าการแก้รัฐธรรมนูญต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ต้องยอมรับว่ารัฐธรรมนูญ 60 เกิดจากความขัดแย้งและบทเรียนในอดีต จึงต้องสร้างบรรทัดฐานการทำงานบางเรื่องไม่ให้กลับไปวังวนเดิม ที่เสียงข้างมากใช้อำนาจเพื่อผลประโยชน์ตัวเองและพวกพ้อง ส่วนการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ต้องคิดให้รอบคอบว่าหากรัฐธรรมนูญถูกแก้ไขง่าย โดยเฉพาะการให้เสียงข้างมากในสภาฯเท่านั้นเป็นผู้แก้ไข อาจส่งผลให้เกิดปัญหาตามมา การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ กับการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับเป็นคนละเรื่องกัน หากแก้ไขทั้งฉบับอาจสร้างความขัดแย้งในสังคม

พปชร.ส่ง “สิระ-ปารีณา” ป่วน

ที่พรรคพลังประชารัฐ มีการประชุม ส.ส.เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนเปิดประชุมสภา มีการหารือเกี่ยวกับการกำหนดตัวบุคคลเข้าไปทำหน้าที่ กมธ.ศึกษาวิธีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ การเตรียมแนวทางรับมือการอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้าน ขณะที่นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม. แจ้งต่อที่ประชุมว่าขอเสนอชื่อตัวเองเข้าไปทำหน้าที่ในกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ แทนนายพยม พรหมเพชร ส.ส.สงขลา ที่ลาออก พร้อมกับเสนอชื่อ น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี เข้าไปเป็น กมธ.ชุดดังกล่าวแทนนายธนะสิทธิ์โควสุรัตน์ ส.ส.อุบลราชธานี ซึ่งที่ประชุมรับทราบและให้ดำเนินการต่อไป

เย้ย “เสรีพิศุทธ์” พวกสิบล้อคว่ำ

นายธนะสิทธิ์ โควสุรัตน์ ส.ส.อุบลราชธานี พรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า เพิ่งตัดสินใจลาออกจาก กมธ.ป.ป.ช. เพราะอยากให้นายสิระ และน.ส.ปารีณาเข้าไปทำงานตรงนี้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ประธาน กมธ. ถือว่าเป็นคนดี แต่รับเรื่องร้องเรียนเยอะเกินไป รับทุกเรื่องมาพิจารณาโดยไม่กลั่นกรอง ทำอย่างนี้ 4 ปี รถสิบล้อคว่ำก็ยังไม่จบ และกรณีที่พยายามเรียกตัว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เข้าชี้แจงกรณีถวายสัตย์ฯไม่ครบนั้น เรื่องนี้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยแล้ว มันจบไปแล้วแต่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ยังไม่จบ

“เจ๊หน่อย” อัดอย่ามัวแต่แก้ตัว

อีกเรื่อง คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย โพสต์เฟซบุ๊กว่า ได้ฟัง พล.อ.ประยุทธ์ นายกฯและหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ พูดว่าไทยถูกสหรัฐฯตัดจีเอสพี อาจเป็นเพราะเศรษฐกิจไทยโตเร็วเกินไป แต่อีก 2 วันกลับพูดว่าเศรษฐกิจไทยโตช้า พล.อ.ประยุทธ์รู้และเข้าใจภาวะที่แท้จริงหรือไม่ ความจริงขณะนี้เครื่องยนต์เศรษฐกิจดับทุกตัว ปีนี้ค่าบาทแข็งเกือบ 8% ส่งผลต่อการส่งออกการท่องเที่ยวชะลอตัว แถมถูกตัดจีเอสพีอีก โรงงานลดกำลังผลิตลดจ้างแรงงาน หลายแห่งทยอยปิดตัวลง ปีหน้าต้องเผชิญกับภาวะคนตกงานสูงถึง 500,000 คน เด็กจบใหม่เสี่ยงสูงหางานทำไม่ได้ จึงหวังว่าที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) วันที่ 6 พ.ย.จะพิจารณาลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอย่างน้อย 0.25% ประคองไม่ให้ค่าเงินบาทแข็งค่ามากไปกว่านี้ ที่สำคัญ พล.อ.ประยุทธ์ต้องยอมรับความจริงว่าสภาวะเศรษฐกิจไทยย่ำแย่มากแล้ว ต้องการการลงมือทำงานแก้ปัญหาทันที มิใช่การแก้ตัวด้วยคำพูดไปวันๆ ไม่เช่นนั้นปีหน้าต้องเข้าสู่ภาวะเผาจริงอย่างแน่นอน

“พิชัย” แนะปั๊มผลงานให้อาเซียน

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว.พลังงาน กล่าวว่า อยากให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ในฐานะประธานอาเซียนไปจนถึงสิ้นปีนี้ ที่ยังไม่มีผลงานอะไรที่คนจดจำได้ ขอแนะนำ 3 เรื่องหลักให้ พล.อ.ประยุทธ์เสนอต่อชาติอาเซียนพิจารณา ดังนี้ 1.ตั้งกองกำลังทหารร่วมอาเซียน (Asean Joint Armed Forces) เพื่อช่วยลดและประหยัดงบฯทางทหารของแต่ละประเทศ จะได้มีงบฯเหลือนำไปใช้พัฒนาด้านต่างๆ 2.ร่วมกันพัฒนาเศรษฐกิจสมัยใหม่ของอาเซียน เปิดโอกาสให้บริษัทเทคโนโลยีระดับยูนิคอร์นในอาเซียน สามารถเข้าสู่ตลาดอาเซียนได้ทั้งหมด เพื่อขยายตลาดเพิ่มศักยภาพแข่งขันกับบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ และ 3.ภาวะเศรษฐกิจโลกอาจตกต่ำถึงถดถอยในอีก 12-18 เดือนข้างหน้า อาเซียนควรร่วมกันคิดหามาตรการรับมือ พล.อ.ประยุทธ์ควรรีบนำแนวคิดนี้ไปเสนอต่อเวียดนามประธานอาเซียนสมัยหน้า

“จิราพร” เย้ย รบ.ทำได้แค่แจกเงิน

น.ส.จิราพร สินธุไพร ส.ส.ร้อยเอ็ด รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า กรณีที่รัฐบาลปลื้มใจกับผลสำรวจความคิดเห็นที่ประชาชนชื่นชอบโครงการชิมช้อปใช้และบัตรคนจน แล้วอ้างเป็นตัวชี้วัดผลงานความสำเร็จของโครงการว่า หากวัตถุประสงค์โครงการต้องการให้ประชาชนชื่นชอบพอใจ ก็ไม่จำเป็นต้องสำรวจให้เสียเวลา เงินฟรีคงไม่มีใครที่ไม่ชอบ แต่ตัวชี้วัดความสำเร็จที่แท้จริงรัฐบาลต้องดูผลสัมฤทธิ์ว่าสามารถแก้ปัญหาปากท้องได้ยั่งยืนหรือไม่ อยู่ในอำนาจมา 5 ปี ทำได้แค่แจกเงินให้ประชาชนพอใจหรือ นโยบายแบบนี้คือการให้ยาแก้ปวดไม่ใช่รักษาโรคให้หายขาด ยิ่งเพิ่มชิมช้อปใช้เฟสต่อๆไป ยิ่งสะท้อนว่าไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่าการแจกเงิน ที่ฝ่ายค้านท้วงติงไม่ได้เล่นเกม แต่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์คงชินกับใช้อำนาจเบ็ดเสร็จไร้การตรวจสอบ ตอนนี้มีสภาผู้แทนราษฎรแล้วควรกลับไปทำความเข้าใจระบอบประชาธิปไตยให้มากขึ้น เปิดใจให้กว้างเลิกอคติกับฝ่ายที่เห็นต่าง