นายกฯ พร้อมเดินหน้าประเทศ สู่ ไทยแลนด์ 4.0 ผลักดันธุรกิจ SME รับความท้าทายใหม่ในยุคดิจิทัล สอดคล้องกับแนวคิดหลักของสภาที่ปรึกษาธุรกิจอาเซียน 4 เสาหลัก ระดมกำลัง ตร.-ทหาร 1.7 หมื่นนาย ดูแลรอบพื้นที่จัดประชุม
วันที่ 2 พ.ย. พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีเปิดงาน ASEAN Business and Investment Summit 2019 หรือ ABIS 2019 มีภาคเอกชนร่วมกันเป็นเจ้าภาพในการจัดการประชุมสุดยอดผู้นำธุรกิจ ซึ่งเป็นเวทีคู่ขนานสำคัญของการจัดการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน มีผู้นำประเทศ ผู้นำธุรกิจ และผู้นำองค์กรระหว่างประเทศเข้าร่วมงานกว่า 1,200 คน
การประชุมครั้งนี้จัดขึ้น ภายใต้แนวคิด Emmpowering ASEAN 4.0 เพื่อเตรียมความพร้อมประเทศสมาชิกในการรับมือกับความท้าทายใหม่ในยุคดิจิทัลสอดคล้องกับแนวคิดหลักของสภาที่ปรึกษาธุรกิจอาเซียน ร่วมสนับสนุนและผลักดันให้เกิดการดำเนินการของประชาชนอาเซียนในปี 2562 ประกอบด้วย 4 เสาหลัก ประกอบด้วย การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี การสร้างความเชื่อมโยงทางด้านดิจิทัลเพื่อรองรับการค้า การลงทุน ในอาเซียน การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้เกิดความสามารถใหม่ลดปัญหาการว่างงานในอาเซียน และผลักดันให้ผู้ประกอบการเข้าถึงนวัตกรรมนี้และเงินทุนเพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน
พลเอกประยุทธ์ กล่าวว่า ยินดีและเป็นเกียรติที่ได้มาเป็นประธานเปิดงานและต้อนรับทุกภาคส่วน โดยเฉพาะภาคธุรกิจซึ่งมีความสำคัญ ไทยมีโอกาสได้จัดการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 35 อีกครั้งในฐานะเป็นประธานอาเซียน ซึ่งจะเดินหน้าอาเซียนในยุค 4.0 โดยผลักดันนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ทั้งการค้าการลงทุน นิวบิสิเนสโมเดล โดยไทยพยายามนำเทคโนโลยี ใช้นวัตกรรมการผลิตเพื่อยกระดับเศรษฐกิจ ซึ่งรัฐบาลไทยได้ร่วมกับเอกชนในการพัฒนาประเทศด้านการค้าการลงทุน ทั้งด้านความมั่นคงทางพลังงานและทรัพยากรมนุษย์ เพื่อการพัฒนาที่นั่งยืน เน้นการลงทุนร่วมแบบ พีพีพี ในเรื่องการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะอีอีซี ด้านการขนส่งโลจิสติกส์ ทั้งสนามบิน ท่าเรือ รองรับการขนส่งกับอาเซียนเป็นหลัก รวมทั้งภาคการเกษตร ที่เร่งผลักดันเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ในการกระจายสินค้าด้วย
...
นอกจากนี้ พลเอกประยุทธ์ กล่าวว่า รัฐบาลยังสนับสนุนธุรกิจเกิดใหม่ เอสเอ็มอี ต่างๆ นวัตกรรมใหม่ๆ ที่ในศตวรรษที่ 21 ที่มีการเชื่อมโยงอย่างไร้รอยต่อ ไทยจึงเตรียมความพร้อมให้มีการเชื่อมโยงด้านดิจิทัลกับอาเซียนในทุกมิติ
นายกรัฐมนตรี กล่าวทิ้งท้ายว่า หวังว่า การประชุมจะมีการแลกเปลี่ยนและเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน ที่จะได้มีการเชื่อมโยงอย่างไร้รอยต่อ ซึ่งรวมไปถึงกฎหมาย และกฎระเบียบต่างๆ เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม เรื่องใดที่เป็นประโยชน์รัฐบาลยืนยันจะทำให้เกิดกับประชาชนและประเทศสมาชิกให้สูงที่สุด และต้องคำนึงถึงประโยชน์ชาติเป็นหลัก เคารพสิทธิมนุษยชน และสิ่งแวดล้อมที่ทุกคนทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกัน เพราะปัญหาทุกอย่างแก้ไม่ได้โดยลำพังเพียงผู้เดียว ทั้งนี้ก่อนที่นายกรัฐมนตรี จะเดินทางกลับ ยังกล่าวสั้นๆ ว่า ”ขอให้ทำทุกอย่างคิดทุกอย่างอย่างสร้างสรรค์ พร้อมชูสัญลักษณ์ไอเลิฟยู”
สำหรับประเทศที่เข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน ระหว่างวันที่ 2-4 พฤศจิกายนนี้ มีผู้นำอาเซียน 10 ประเทศสมาชิก ประกอบด้วยไทย เวียดนาม กัมพูชา เมียนมา มาเลเซีย ลาว บรูไน ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และ 8 ประเทศคู่เจรจา ประกอบด้วย จีน อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ นิวซีแลนด์ รัสเซีย ออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา และองค์การระหว่างประเทศ รวมถึง 1 ประเทศตะวันออกกลาง คือ บาห์เรน
ส่วนมาตรการการดูแลรักษาความปลอดภัย มีการใช้กำลังตำรวจ-ทหาร ประมาณ 17,000 นาย เพื่อดูแลรักษาความปลอดภัย ครอบคลุมสถานที่การประชุม โรงแรมที่พัก เส้นทาง และสถานที่ต่างๆ อย่างเข้มงวด, ด้านการอำนวยความสะดวกด้านการจราจรนั้น ได้มีการปิดเส้นทางการจราจรบางเส้นทาง และบางช่วงเวลา จึงอาจส่งผลกระทบต่อการเดินทางของประชาชน จึงขอให้ศึกษาข้อมูลเพื่อเตรียมความพร้อมและวางแผนการเดินทางในช่วงการประชุมสุดยอดอาเซียนด้วย