เป็นอีกบทเรียน ที่ “เต้” มงคลกิตต์ สุขสินธารานนท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยศรีวิไลย์ พึงสำนึก ในการทำหน้าที่ ส.ส.ฝ่ายค้านอิสระ แต่อิสระก็ต้องมีกรอบมีขอบเขตเหมือนกัน

เพราะถึงแม้จะมีความตั้งใจดี กระตุกมาตรการรักษาความปลอดภัยของสถานที่ราชการ ที่ต้องแก้ไขปรับปรุง แต่การที่นำสารประกอบระเบิดเข้าไปแถลงข่าวเกี่ยวกับเครื่องตรวจวัตถุระเบิดจากสหรัฐอเมริกา ในพื้นที่รัฐสภา

ยังไม่รวมที่นายมงคลกิตต์ อ้างการข่าวจากฝ่ายใดไม่ทราบ ระบุมีผู้ก่อความไม่สงบ

จากพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ขึ้นมา กทม. เป็น 100 คน แทนที่จะนำเสนอข้อมูลการข่าวที่มีให้ฝ่ายที่รับผิดชอบ
สไตล์จี๊ดจ๊าดเอาแต่สะใจ ไม่สนผลกระทบในห้วงประเทศจะจัดประชุมอาเซียน

นิ่งๆแล้วคิดเองได้ สมควรหรือไม่

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลข่าวสารจาก ส.ส.ที่สถาปนาเป็นฝ่ายค้านอิสระ ล้นกรอบก็ต้องว่าไปตามกฎกติกา แต่เหนืออื่นใดข้อมูลที่เปิดมา ฝ่ายที่รับผิดชอบก็ควรต้องนำไปพิจารณา เพราะจิ้งจกตัวจิ๊ดร้องทัก อย่างไรก็ต้องฟัง

ไม่แตกต่างจากพญาอินทรีกระพือปีก ที่ทำเอาช้างน้อยไทยแลนด์ป่วนกันไปหมด ต้องเงี่ยหูฟัง กรณีที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ตัดจีเอสพีสินค้าไทยร่วม 600 รายการ เหตุผลที่เอ่ยอ้างทั้งปมตั้งสหภาพแรงงานต่างด้าว แรงกดดันนำเข้าหมูเนื้อแดง การแบน 3 สารการเกษตร ขมวดปมแล้วไม่พ้น สหรัฐฯหาช่องลดเสียเปรียบดุลการค้า

คิวนี้โต๊ะเจรจาคือทางออก แก้เท่าที่ทำได้

และน่าจะต้องถึงเวลาอย่างที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและ รมว.กลาโหม และคนในรัฐบาลระบุทำนอง อย่าตื่นเต้นตื่นตูม ต้องแก้ไข แต่ประเทศไทยเติบโตขึ้นแล้ว จะเป็นเสือก็ไม่ต้องพึ่งตัวช่วย ทำนองนั้น

...

แน่นอน คิวนี้พูดอีกก็เท่อีก แต่ทั้งหมดทั้งปวงต้องหันกลับมาดูภาวะเศรษฐกิจไทยเช่นกัน วันนี้อยู่ในภาวะใด ทรง เซ หรือทรุด กับคิวที่ต้องเร่งปั๊มชีพจรเศรษฐกิจกันยกใหญ่

เลิกพึ่งพา “ตัวช่วย” เหมือนหลายประเทศในอาเซียนที่โดนตัดจีเอสพีมาก่อน

นั่นก็หมายความว่าต้องพึ่งลำแข้งของตัวเอง ที่ก็เป็นเรื่องที่รัฐบาลก็พยายามทำ ทั้งเร่งหาตลาดเพิ่ม แสวงหาตลาดใหม่ เพียงแต่ช่วงที่ต้องตั้งหลักเปลี่ยนผ่าน เมื่อผู้นำชูธง “เข้มแข็งจากภายใน”

สถานการณ์จริง เราเข้มแข็งแค่ไหน ไม่ต้องพึ่งใครจริงหรือไม่

ที่สำคัญในจุดที่ต้องยืนบนขาตัวเอง นอกจากกระตุ้นกำลังซื้อภายใน สารพัดโครงการอัดฉีด ชิมช้อปใช้จะเพิ่มรอบเฟส 3 อีกทางกระตุ้นการลงทุนภาครัฐ ล่อใจนักลงทุน ผุดสารพัดเมกะโปรเจกต์ โครงการสาธารณูปโภคพื้นฐานด้านคมนาคมรองรับ ตั้งเป้ากระชากภาวะเศรษฐกิจจากจุดดิ่งหัว

แต่อีกทางก็มีเสียงเรียกร้องรัฐบาลที่ประกาศไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง แต่ขณะนี้สินค้าไทยกำลังกระอัก

นอกจากเกมบุกมหาอำนาจ ยังมีผลพวงจากสงครามการค้าของ 2 ยักษ์ใหญ่ สหรัฐอเมริกา–จีน เกิดช่องรับการลงทุนหนีภัยเทรดวอร์ แต่ก็มาพร้อมกับสินค้าต่างประเทศไหลบ่ามาเกลื่อน

ชนิดผู้ประกอบการไทยกระทบ บริษัทชิ้นส่วนยานยนต์สาหัส บางแห่งปิด–เว้นวรรคกิจการ สินค้าต้นน้ำ เช่น อุตสาหกรรมเหล็ก ไม่ได้อานิสงส์เต็มที่จากเมกะโปรเจกต์ เพราะคำว่า “ไทยแลนด์เฟิร์ส” เลือนหาย

ปล่อยสินค้านอกตีตลาด “เข้มแข็งภายใน” จะจริงได้หรือ

เพราะหลายฝ่ายประเมิน สารพัดมาตรการฝ่ายที่ได้ คือทุนใหญ่สินค้าอุปโภคบริโภค และทุนนอกที่ไหลบ่า

แน่นอนไม่แปลกที่ฤกษ์พิฆาตทางการเมือง คิวอภิปรายไม่ไว้ วางใจที่ฝ่ายค้านประกาศจองกฐินไว้ปลายปี เดือน ธ.ค.2562 จึงมีคิวจองกฐิน คิวแก้โจทย์เศรษฐกิจ จ่อจับ “บิ๊กตู่” ขึ้นเขียง

ปมโปร่งใสคงไร้ปัญหา แต่ข้อหาล้มเหลวแก้เศรษฐกิจ ละเลยต่อปัญหามีมาแน่

และก็ยังไม่รู้ ฤกษ์พิฆาต ซักฟอกผู้นำของพรรคฝ่ายค้านจะเคาะกันลงตัวชัดเมื่อใด เช่นเดียวกันกับฤกษ์สังหารทางการ
เมืองชนักคดีที่เกี่ยวข้องกับ “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่

20 กว่าคดีที่เกี่ยวข้องกับแกนนำ และคนในค่ายสีส้มลุ้นระทึก

ที่แน่ๆนำร่องก่อนเลย 20 พ.ย.นี้ ศาลรัฐธรรมนูญนัดวินิจฉัยปม “ถือหุ้นสื่อ” คิวที่ “ธนาธร” น่าจะรู้ชะตาชีวิตทางการเมืองบนตำแหน่ง ส.ส. และจะลากโยงไปถึงชะตาพรรคสีส้มในคิวนี้อย่างไร หรือรอชนักต่อๆไป

การเมืองห้วงเปลี่ยนผ่าน คืบคลานเข้าสู่ห้วงระทึกอีกแล้ว.

ทีมข่าวการเมือง