สุทิน คลังแสง ประธานวิปฝ่ายค้าน แนะรัฐบาล ยอมรับความจริง เศรษฐกิจที่ผ่านมาตกต่ำ ฝากรัฐบาลนำสิ่งที่ฝ่ายค้านเสนอแนะ ตลอด 3 วัน ไปปรับแก้ร่างฯ พ.ร.บ.ด้วย 

วันที่ 19 ต.ค. นายสุทิน คลังแสง ในฐานะประธานคณะทำงาน 7 พรรคร่วมฝ่ายค้านหรือวิปฝ่ายค้าน กล่าวสรุปภาพรวมการอภิปรายร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ตลอด 3 วันที่ผ่านมา โดยในช่วงแรกกล่าวว่า เป็นเรื่องที่ดีที่ประเทศว่างเว้นการพิจารณาร่างงบประมาณมานาน ทำให้เสียโอกาสตรวจสอบการใช้งบของรัฐบาลซึ่งการอภิปรายที่ผ่านมาฝ่ายค้านได้เสนอแนะ ท้วงติง และเสนอทางออกให้รัฐบาลนำไปปรับใช้ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ในการบริหารงานของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ประเทศมีความขาดดุลงบประมาณจำนวนมาก ทำให้เศรษฐกิจย่ำแย่ในภาวะเศรษฐกิจโลกที่ตกต่ำ

สำหรับการจัดสรรงบประมาณปี 2563 นี้เห็นได้ชัดเจนว่าทุ่มเทไปในส่วนที่ไม่จำเป็นและไม่ก่อให้เกิดรายได้ไม่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศได้ตรงจุด และในส่วนของงบกลางจำเป็นฉุกเฉินก็เพิ่มขึ้นมากเกินไปจนทำให้หลายฝ่ายมีการตั้งข้อสังเกตว่ารัฐบาลจะนำเงินในส่วนนี้ไปใช้หนี้เหมืองอัคราหากแพ้คดี ซึ่งหากเป็นอย่างนั้นเป็นเรื่องที่น่ากังวลอย่างมาก

ในส่วนงบประมาณของกระทรวงกลาโหมที่เพิ่มขึ้นแต่กระทรวงศึกษางบประมาณกลับลดลงซึ่งตรงกันข้ามกับสิ่งที่นายกรัฐมนตรีได้พยายามย้ำอยู่เสมอว่าต้องการที่จะพัฒนาคนให้ก้าวทันประเทศไทยในยุค 4.0 เพราะงบประมาณที่ไปเพิ่มในสัดส่วนของกลาโหมไม่ได้ช่วยให้ก่อให้เกิดรายได้และพัฒนาคนเพราะจากสิ่งที่นำไปใช้ไม่ก่อให้เกิดรายได้และพัฒนาเศรษฐกิจให้ดีขึ้น

ประธานวิปฝ่ายค้าน กล่าวเปรียบเทียบโครงการชิมช็อปใช้ที่รัฐบาลพยายามบอกว่าประชาชนส่วนใหญ่พึงพอใจนั้นส่วนตัวกลับมองว่าเป็นการแจกเงินให้ชาวบ้านและไม่เกิดการหมุนเวียนอย่างแท้จริงเปรียบเทียบกับยุครัฐบาลทักษิณที่อัดฉีดเม็ดเงินเข้าหมู่บ้านพัฒนาอาชีพเสริมสร้างให้ชาวบ้านสามารถประกอบอาชีพได้มั่นคงและเข้มแข็งก่อให้เกิดรายได้ในระยะยาว รวมไปถึงโครงการอีอีซีที่รัฐบาลบอกว่าจะสามารถนำเงินเข้ามาได้จากนักลงทุนต่างประเทศแต่ส่วนตัวกลับมองว่าโครงการดังกล่าว ไม่ต่างจาก โฮปเวลล์ 2 ที่นอกจากไม่ก่อให้เกิดรายได้เข้าประเทศตามที่รัฐบาลพยายามชูโครงการดังกล่าวแล้ว ขณะนี้นักลงทุนยังไม่มีความเชื่อมั่นในการเข้ามาลงทุนในประเทศไทยอีกด้วย

...

ในช่วงท้ายประธานวิปฝ่ายค้านเสนอแนะ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือให้รัฐบาลยอมรับความจริงและนำสิ่งที่ฝ่ายค้านเสนอแนะไปปรับแก้ร่างฯ งบประมาณดังกล่าว เพื่อนำไปพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจที่มีปัญหาโดยเฉพาะความยากจนซึ่งที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีพยายามปฏิเสธความจริงในเรื่องนี้ พร้อมขอให้เกลี่ยงบประมาณให้เหมาะสมโดยเฉพาะการพัฒนาคนเศรษฐกิจและกระจายงบประมาณลงไปสู่ปลายทางแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำด้วยการนำหลักประกันสุขภาพหรือ 30 บาทรักษาทุกโรคมา เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต่างประเทศให้การยอมรับว่าสามารถลดความเหลื่อมล้ำได้จริง พร้อมกับสรุปทิ้งท้ายว่าร่างฯ งบประมาณดังกล่าว แต่ถ้าฝ่ายค้านหารือกันแล้วจะยกมือรับทำใจลำบากถ้าจะไม่รับก็เห็นใจประชาชนที่รอใช้เงินในส่วนต่างๆ จึงขอให้นายกรัฐมนตรีบันทึกข้อเสนอแนะของสมาชิกไปพิจารณา