รมว.พลังงาน แจง ปมเลิกอุดหนุน แก๊สโซฮอล์-ไบโอดีเซล มั่นใจ ยกบี 10 แทนบี 7 แก้ปัญหาปาล์มน้ำมันทั้งระบบอย่างยั่งยืน เหตุน้ำมันไทยต่างเพื่อนบ้านเพราะโครงสร้าง พร้อมผลักดันไทยเป็นศูนย์กลางไฟฟ้าอาเซียน 

วันที่ 19 ต.ค. นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พลังงาน ชี้แจงในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร กรณีที่สมาชิกมีความเป็นห่วงต่อ พ.ร.บ.กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ที่จะมีการยกเลิกสนับสนุนเรื่องแก๊สโซฮอล์หรือไบโอดีเซลในอีก 6 ปีข้างหน้าว่า เรื่องนี้เกิดขึ้นแล้ว ตั้งแต่ตนเข้ารับตำแหน่งก็ตระหนักถึงปัญหานี้ และกระทรวงพลังงานจะต้องดำเนินการในการขับเคลื่อนให้สามารถดำเนินการได้อย่างไร สาเหตุที่พร.บ.ตัดกองทุนน้ำมันออกไป เพราะประสิทธิภาพในการขับเคลื่อนเรื่องไบโอดีเซล แก๊สโซฮอล์ในอดีต ซึ่งกระทรวงพลังงาน ได้ขับเคลื่อนเอาน้ำมัน บี10 เป็นน้ำมันพื้นฐานของไบโอดีเซล โดยจะเริ่มวันที่ 1 ม.ค.2563 ซึ่งการใช้ บี10 เป็นพื้นฐานขับเคลื่อนไบโอดีเซล และแก๊สโซฮอล์ ของจุดเริ่มในการแก้ปัญหาที่จะพิสูจน์ว่า เป็นการแก้ปัญหาปาล์มน้ำมันทั้งระบบอย่างแท้จริง

ประเทศไทยประสบปัญหาปาล์มน้ำมันมา 20-30 ปี เราไม่สามารถหาทางออกได้เพราะเรามีตัวซัพพลายมากกว่าความต้องการในตลาดในประเทศ 4-5 แสนตัน ต่อปี ไม่มีความสามารถในการแข่งขัน ที่จะส่งออกปาล์มน้ำมันไปสู่ประเทศอื่นเพราะเราเป็นเจ้าผลิตปาล์มน้ำมันของโลก เพียงแค่ประมาณ 5% เทียบแล้วเรามีขนาดเล็กมาก และมีต้นทุนของเกษตรกรสูงกว่าประเทศเพื่อนบ้าน ทางออกเดียวที่จะรักษาเสถียรภาพปาล์มน้ำมัน ซึ่งถือเป็น 1ใน 5 พืชเศรษฐกิจสำคัญ คือ การนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิง

“กระทรวงพลังงานได้ขับเคลื่อนเรื่องนี้โดยการให้บี10 เป็นน้ำมันพื้นฐานจากบี7 คาดว่าไม่เกินไตรมาสที่ 2 เราสามารถที่จะเพิ่มปริมาณการใช้ CPO ขึ้นมาประมาณ 4 แสนตัน โดยจะใช้มาทำบี 10 บี 20 ประมาณปีละ 2.2 ล้านตันต่อปี ถือเป็น 2 ใน 3 ของผลผลิตปาล์มน้ำมันของประเทศ และเป็นครั้งแรกของประเทศที่ซัพพลายของปาล์มน้ำมันจะสมดุลกับดีมาน และเป็นจุดเริ่มต้นของการรักษาเสถียรภาพของราคาปาล์มน้ำมัน”

...

นอกจากนี้ กระทรวงพลังงานจะให้ความใส่ใจในการดูแลสต๊อก B100 เพราะจะเป็นพื้นฐานในการนำมาผลิต บี 7 บี 10 บี 20 โดยการที่จะใส่มาร์กเกอร์ลงไปใน B100 ว่า CPO ทุกลิตรจะถูกควบคุมไม่ให้มีการลักลอบ ซึ่งการทำงานในลักษณะนี้จะมีโอกาสในการแก้ปัญหาผลผลิตปาล์มน้ำมันที่เป็นปัญหาเรื้อรังอย่างชัดเจน ดังนั้นความสำเร็จเหล่านี้มีความสำคัญมากในการเป็นเครื่องพิสูจน์ที่จะให้กระทรวงพลังงานหาทางแก้กฎหมายกองทุนให้ได้รับการสนับสนุนอย่างเดิม

นายสนธิรัตน์ กล่าวต่อว่า เรื่องของไบโอฟูเอล หรือเชื้อเพลิงชีวภาพ ไม่ได้เป็นเพียงช่วยเกษตรกร แต่ตอนนี้ไทยพบปัญหาที่ใหญ่มาก คือ PM2.5 ซึ่งจะเป็นเรื่องของไบโอดีเซล หรือเอทานอล ก็ดีที่มาใช้กับแก๊สโซฮอล์ เป็นนโยบายที่กระทรวงพลังงานจะขับเคลื่อนเพื่อให้ผลประโยชน์ตกกับเกษตรกรต่อไป

รมว.พลังงาน กล่าวอีกว่า ส่วนเรื่องโครงสร้างราคาน้ำมันที่มีคำถามว่า ทำไมราคาน้ำมันในไทยถึงแพงกว่าราคาน้ำมันในมาเลเซีย เพราะไทยเป็นประเทศที่นำเข้าน้ำมันเกือบจะ 90% หมายความว่า ทุกบาททุกสตางค์ต้องสูญเสียเงินออกนอกประเทศ มีการคำนวณราคาน้ำมัน แบ่งเป็น 4 ส่วน ส่วนแรก คือ เนื้อน้ำมันที่เราอิงราคามาตรฐานของโลก ซึ่งในเนื้อน้ำมันก็มีคุณภาพของน้ำมัน ยกตัวอย่างไทยใช้ยูโร 4 มีเพียงสิงคโปร์เท่านั้นที่ใช้ยูโร 5 แต่พม่า อินโดนีเซีย ลาว เขมร หรือแม้แต่มาเลเซีย ตัวน้ำมันดีเซลก็ยังเป็นยูโร 3 ส่วนที่ 2 เนื่องจากเราเป็นประเทศนำเข้า ได้อาศัยโครงสร้างของน้ำมันซึ่งประกอบด้วย 3 ส่วนคือ ภาษีสรรพสามิต ภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีท้องถิ่น ในภาษีเหล่านี้ก็คือรายได้ของรัฐบาลที่ใช้ในงบประมาณแผ่นดิน เพราะเราต่างจากมาเลเซียที่ผลิตและส่งออกน้ำมัน ดังนั้นจึงไม่มีโครงสร้างเหล่านี้

ส่วนที่ 3 เรามีกลไกในการรักษาเสถียรภาพของราคาน้ำมันโดยมี 2 กองทุนใหญ่ๆ คือ กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่จะใช้รักษาสมดุลช่วงเกิดวิกฤติราคาน้ำมัน และกองทุนอนุรักษ์พลังงานซึ่งจะใช้ในการส่งเสริมเรื่องพลังงานทดแทน และการอนุรักษ์พลังงาน และส่วนที่ 4 ค่าการตลาด ซึ่งในยุคของตนจะเข้าไปดูแลเรื่องนี้ อย่างไรก็ตามที่โครงสร้างแตกต่างจากเพื่อนบ้าน ไทยก็ไม่ได้ราคาสูงอย่างที่เข้าใจ มีสิงคโปร์ ลาว ฟิลิปปินส์ กัมพูชา หรือแม้แต่อินโดนีเซีย ที่เป็นประเทศที่ผลิตน้ำมันก็ยังมีราคาดีเซลสูงกว่าเรา ส่วนที่ต่ำกว่าเราจริงๆ นั้นก็มี พม่า เวียดนาม มาเลเซีย และบรูไน

“อินโด มาเลย์ บรูไน เป็นประเทศผู้ผลิตน้ำมัน ส่วนเวียดนามโครงสร้างราคาน้ำมันคล้ายของไทย ในอดีตที่ราคาน้ำมันของไทยเทียบเท่ามาเลย์ เพราะรัฐชดเชย ผมตระหนักดีว่าราคาน้ำมันมีผลกับประชาชน เราจะดูแลโครงสร้างเหล่านี้”

นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า ส่วนเรื่องความสามารถในการแข่งขันค่าไฟฟ้า ไทยจะแข่งขันได้จะต้องมีต้นทุนราคาพลังงานที่แข่งขันได้ ซึ่งเราเรียกว่า Compititive Energy ซึ่งเรามุ่งมั่นจะทำเรื่องค่าไฟให้ได้มาตรฐาน มีราคาที่แข่งขันได้ ประเทศไทยมีจุดอ่อนคือไม่มีแหล่งพลังงาน เช่นนิวเคลียร์ หรือถ่านหิน โรงไฟฟ้าถ่านหินเกิดได้ยากมากในไทย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่เราไม่สามารถแข่งขันกับประเทศเหล่านั้นได้ แต่ก็มีแผน PDP 2018 ที่จะสร้างโครงสร้างสมดุลใน 20 ปีข้างหน้า โดยมีเป้าหมายให้มีต้นทุนราคาไฟฟ้าที่มีเสถียรภาพและแข่งขันได้ในอนาคต มีเป้าหมายทำไทยให้เป็นศูนย์กลางการค้าไฟฟ้าภูมิภาคอาเซียน โดยใช้จุดแข็งคือการเป็น Center of Asean และพยายามพัฒนาเรื่องพลังงานทดแทนเช่นพลังงานแสงอาทิตย์ที่มีต้นทุนถูกลงในอนาคต

“กระทรวงพลังงานมีงบน้อยมาก 2,100 กว่าล้าน เทียบกับงบประมาณ 3.2 ล้านล้าน คิดเป็น 0.06% แต่เราจะใช้งบเหล่านี้อย่างมีคุณภาพและสร้างประโยชน์ให้กับประเทศไทยให้ได้มากที่สุด” นายสนธิรัตน์ กล่าว...