“บิ๊กแดง”บรรยายพิเศษ เผย สาเหตุความไม่สงบในประเทศ ตำหนิ บางคนไม่ต่อสู้เพื่อแผ่นดิน เอาแต่วิจารณ์ ย้ำ มาตรา 1 แตะต้องไม่ได้ ยกตัวอย่างบุคคล 3 กลุ่ม ถ้าไม่มีความคิดล้มล้างสถาบัน เข้ามาบริหารประเทศได้
วันที่ 11 ต.ค. พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก กล่าวในเวทีบรรยายหัวข้อ "แผ่นดินของเราในมุมมองฝ่ายความมั่นคง" กล่าวถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ทรงร่วมรบปกป้องเอกราชของแผ่นดินไทย รวมถึงย้อนเล่าเกร็ดประวัติศาสตร์ และเหตุผลที่รู้สึกรักและหวงแหนแผ่นดิน ซึ่งที่ผ่านมา มีแต่การให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนเท่านั้น ตัวเองได้เคยพูดมาเสมอว่า เมื่อมีการเลือกตั้งแล้วทหารจะถอยห่างจากการเมือง ไม่มี คสช. เพราะมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง พร้อมกล่าวถึงคำถามที่ว่า ทำไมต้องมีทหาร โดยผู้บัญชาการทหารบก ได้บอกว่าทหารนั้น ได้ถูกกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 52 มีหน้าที่พิทักษ์สถาบันพระมหากษัตริย์ รักษาเอกราช อธิปไตย บูรณาการแห่งอาณาเขต ดูแลความมั่นคงของรัฐ
...
พร้อมยกข้อความหนึ่งขึ้นมาว่า "ถ้าคุณไม่ใช่คนที่เต็มใจและพร้อมที่จะจับอาวุธขึ้นมาเพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติแล้วก็ขอ จง"หยุด"วิพากษ์วิจารณ์คนที่กำลังทำหน้าที่นั้นอยู่”
พล.อ.อภิรัชต์ ยังได้บรรยายถึงสถานการณ์ในโลกปัจจุบัน ที่มีความขัดแย้งอยู่ทั่วทุกมุมโลก ซึ่งสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการปลุกปั่นของคนในชาติ โดยในช่วงนี้ผู้บัญชาการทหารบก ได้เปิดภาพเกี่ยวกับเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ ที่หนึ่งในนั้นมีภาพเหตุความขัดแย้งทางการเมืองของฮ่องกง และภาพของนายโจชัว หว่อง นักเคลื่อนไหวชาวฮ่องกง และระบุว่า ก่อนหน้านี้ฮ่องกงเป็นประเทศที่น่าท่องเที่ยว แต่ตอนนี้ไม่มีใครอยากไปจะมีก็แค่นักการเมืองบางคนที่ไป พร้อมตั้งคำถามว่า การเดินทางมาพบพูดคุยกันนั้นไม่รู้ว่า มีการสมคบคิดวางแผนอะไรอยู่หรือไม่
พล.อ.อภิรัชต์ ยังตั้งคำถาม ถ้าผู้บริสุทธิ์ไม่ถูกทำร้ายจะมีการต่อสู้หรือการใช้กำลังเพื่อปกป้องคนเหล่านี้หรือไม่ ย้ำ อย่าลืมเหตุการณ์คนที่ไม่หวังดีก่อเหตุวางระเบิดที่ผ่านมา ย้ำว่าฝ่ายความมั่นคงจะไม่มีวางมือ นอกจากจะหาผู้ที่มีส่วนเชื่อมโยงกับความไม่สงบที่เกิดขึ้น ซึ่งบางคนยังลงไปตั้งวงเสวนา พูดยกตัวอย่างพูดบนเวทีเกี่ยวกับมาตรา 1 ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียวแบ่งแยกมิได้ ยืนยัน ตนไม่ได้มาขัดขวางแก้รัฐธรรมนูญ หรือเรื่องการเมือง แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องความมั่นคงของประเทศ
หลังจากนี้ไม่ว่า จะมีทหาร ตำรวจ หรือนาย นางสาว เป็นรัฐบาล ทหารก็จะรับใช้ตามรัฐธรรมนูญ แต่คนกลุ่มนี้กลับมองว่า ทหารเป็นศัตรู และที่ผ่านมาทหารถูกเป็นเป้าโจมตีอยู่ตลอด ตัวเองยืนยันทำงานให้ตามรัฐธรรมนูญ ตามกฎหมาย ไม่มีการเลือกปฏิบัติ ไม่มีการเลือกนาย แต่กลุ่มคนเหล่านี้รู้ดี ไม่ได้มองทหารว่ารักษาประเทศชาติ ปกป้องรัฐธรรมนูญ แต่มองว่าทหารเป็นอุปสรรคของประชาธิปไตย พร้อมย้ำว่าทหารก็คือประชาชน และทหารคือหลักของความมั่นคงที่จะต้องปกป้องอธิปไตย
พล.อ.อภิรัชต์ ยังกล่าวอีกว่า ขอให้คิดให้ดีแล้วกันว่า ทุกครั้งที่บ้านเมืองเกิดภัยพิบัติ เกิดวิกฤติ หัวหน้าพรรคการเมือง พรรคการเมือง หนีหมด ทิ้งลูกน้องติดคุก ขึ้นศาล คนที่ร่วมชุมนุมกลับไปจนเหมือนเดิม ขอเอ่ยชื่อนักการเมืองคนหนึ่ง คือ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ซึ่งมีความสนิทสนมกันตั้งแต่รุ่นคุณพ่อ ผมได้ถามว่า ตอนหนีไปอยู่ต่างประเทศลำบากแค่ไหน กว่าจะกลับมาประเทศไทยได้ลำบากแค่ไหน สุดท้ายที่ผมพูดมาทั้งหมดนี้ ทุกคนไม่ต้องเชื่อ แต่ขอถามว่า ปัญหาเรื่องความมั่นคงจะให้ใครแก้ นักวิชาการหรืออาจารย์บางคน ที่คบคิดกับพวกคอมมิวนิสต์เดิม ร่วมกับนักเรียนนอก ซ้ายจัดดัดจริต ที่ไปเรียนจากประเทศล่าอาณานิคม ชอบอ้างเลข 2475 และชอบอ้างว่า ตนเป็นนักประชาธิปไตย แต่มีวาทกรรมจาบจ้วง หรือจะเลือกกลุ่มนักการเมืองที่เลือกพวกพ้อง ไม่ห่วงผลประโยชน์ของชาติ รวมถึงยังมีนักการเมืองในภาคใต้ ที่เกาะแข้งเกาะขา พ่อของตัวเองในสมัยก่อน หรือจะเชื่อนักการเมืองที่เป็นเหมือนผึ้งแตกรัง ที่ลูกพี่ใหญ่หนีไปอยู่ต่างประเทศ หรือจะเชื่อนักธุรกิจ เชื่อคนที่ร่วมชุมนุมเผาบ้านเผาเมือง แต่ละคนมีพฤติกรรมล้มล้างชาติ สถาบัน ดังนั้นคนทั้ง 3 กลุ่มนี้ ที่ได้เอ่ยมานั้น ไม่ผิดหรอกที่จะมาเป็นผู้นำประเทศนี้ เพราะในอดีตก็เคยมี แต่ขอว่าถ้าไม่คิดล้มล้างสถาบัน ไม่คิดเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองประเทศ ก็สามารถมาบริหารประเทศได้ และตัวเองในฐานะทหารยืนยันว่า จะอยู่เคียงข้าง
พล.อ.อภิรัชต์ ยังกล่าวในช่วงแรกของการบรรยายย้อนทบทวนประวัติศาสตร์ชาติไทยตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรี และการเสียแผ่นดินทั้ง 14 ครั้งในอดีต และบอกว่าประเทศไทยเป็นประเทศเดียวเท่านั้นในภูมิภาคนี้ ที่ยังเป็นเอกราช เพราะความปรีชาสามารถของพระมหากษัตริย์ไทย ที่ได้ปกป้องรักษาแผ่นดินเอาไว้ และได้เปิดวีดิทัศน์ให้รับชม มีความยาวประมาณ 1 นาทีเศษ ซึ่งเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการต่อสู้ของบรรพบุรุษในอดีต ที่ได้ต่อสู้เพื่อปกปักรักษาแผ่นดินไทยเอาไว้
ทั้งนี้ ได้กล่าวว่า หากจะถามว่า ตัวเองรู้สึกหวงแหนและรักชาติแผ่นดินเมื่อไหร่นั้น อาจจะเป็นความรู้สึกของตน โดยผู้บัญชาการทหารบกได้ย้อนกลับไปวันที่ 25 ตุลาคม 2515 ซึ่งเป็นภาพจากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ที่มีพาดหัวข่าวการตกของเฮลิคอปเตอร์ทหารที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ปราบปรามผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ ซึ่งขณะนั้นตนอายุ 12 ปี และในความคิดของเด็กวัย 12 ปี ที่ได้รับรู้ว่าบิดาของตัวเองเป็นหนึ่งใน 11 ชีวิตที่อยู่ในป่า และอยู่ในเฮลิคอปเตอร์ที่ถูกยิงตก ตัวเองจึงตั้งคำถามกับตัวเองว่าทำไมพ่อถึงถูกยิง และพ่อไปทำอะไรถึงถูกยิง ได้คำตอบว่าพ่อไปปกป้องอธิปไตยด้วยการไปต่อสู้กับผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ที่จังหวัดราชบุรี
ดังนั้นสถาบันพระมหากษัตริย์ ทหาร และประชาชน เป็นสิ่งที่แยกออกกันไม่ได้ ในอดีตพระมหากษัตริย์อยู่บนหลังช้าง ทหารอยู่รายล้อมรอบช้าง ซึ่งทหารเหล่านั้นก็คือ ประชาชนที่เสียสละเข้ามาร่วมรบกับพระมหากษัตริย์ พร้อมกันนี้ ผู้บัญชาการทหารบก ได้เปิดพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ขณะทรงเป็นพระบรมโอรสาธิราช พระยศร้อยเอก ที่ได้เสด็จฯ ไปยังอำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2519 เพื่อร่วมรบกับทหาร ทรงอยู่ในฐานปฏิบัติการกินนอนกับทหาร ทรงเยี่ยมประชาชน ทรงเป็นมิ่งขวัญ ทรงเป็นกำลังใจ ทรงรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับเหล่าทหารหาญ หลังจากนั้นยังมีอีกหลายยุทธการที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง กว่าพรรคคอมมิวนิสต์ถึงจะยอมวางอาวุธ แต่ปัจจุบันนี้ยังมีพวกหัวเดิมๆ ที่กลับออกมา มาเป็นนักการเมือง บ้าง เป็นนักวิชาการบ้าง และยังฝังชิพการเป็นคอมมิวนิสต์เอาไว้
ข่าวเกี่ยวข้อง
"ธนาธร" ร่ายยาว ยันไม่รู้จัก "โจชัว หว่อง" แค่เคยพบในงานเสวนาที่ฮ่องกง
ชูวิทย์ สับ ธนาธร ชักศึกเข้าบ้าน ถ่ายรูปคู่ โจชัว หว่อง ให้ ผบ.ทบ.เต็ม10
"บิ๊กป้อม" ลั่น นักการเมืองไทยคนไหน จุ้นม็อบฮ่องกง ต้องรับผลกระทบเอง