มาอีหรอบเดิมอีกแล้ว...เหตุเกิดมาตั้งแต่วันที่ 10-11 เม.ย. ปี 2552 ที่พัทยา ซึ่งมีประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนและมีผู้นำอีกหลายประเทศเข้าร่วมประชุมในฐานะประเทศคู่เจรจา
ไทยในฐานะ “เจ้าภาพ” เนื่องจากได้เป็นประธานอาเซียนจึงจัดให้มีการประชุมครั้งนี้ โดยมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นนายกฯ
ปรากฏว่า การประชุมครั้งนั้นการเมืองในประเทศเกิดปัญหาขัดแย้งอย่างหนักระหว่างพรรครัฐบาลกับฝ่ายค้าน
กลุ่มคนเสื้อแดงภายใต้การนำของแกนนำ นปช. มีการชุมนุมและเคลื่อนไหวทางการเมืองรุกไล่รัฐบาลจนแทบจะทำงานบริหารประเทศไม่ได้เลย
การเคลื่อนไหวจึงมุ่งเอาการประชุมอาเซียนที่โรงแรมรอยัล คลิป บีช รีสอร์ท เมืองพัทยา เป็นสนามการต่อสู้
เริ่มจากการนำผู้ชุมนุมเข้ายื่นหนังสือประท้วงต่อตัวแทนอาเซียนจนเกิดปัญหาชุลมุนจนต้องล้มการประชุมในที่สุด
บรรดาผู้นำประเทศที่เข้าร่วมประชุมต้องหนีกันกระเจิง
พูดง่ายๆว่าหนีตาย เพราะไม่มีความปลอดภัยหวาดผวากันมาก
เหตุครั้งนั้นประเทศไทยในฐานะเจ้าภาพได้รับความเสียหายอย่างหนัก เนื่องจากไม่สามารถรักษาความปลอดภัยในชีวิตจนต้องพาผู้นำเหล่านี้ออกจากโรงแรมอย่างทุลักทุเล
เป็นความอัปยศครั้งสำคัญของประเทศไทย
หลังจบเรื่องได้มีการฟ้องร้องบรรดาแกนนำ นปช. จำนวนหนึ่งเพื่อดำเนินคดีในความเสียหายที่เกิดขึ้นในครั้งนั้น
เมื่อเรื่องขึ้นสู่ศาลได้มีการพิจารณาตามขั้นตอน โดยศาลชั้นต้นได้พิพากษาให้จำคุกบรรดาแกนนำเหล่านี้คนละ 4 ปี โดยไม่รอลงอาญา
ศาลอาญาได้พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นคือ คุกคนละ 4 ปี
จนกระทั่งวันที่ 11 กันยายน ปี 62 ศาลเมืองพัทยาได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา ซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายจึงถือว่าเป็นสิ้นสุด
...
ปรากฏว่าศาลฎีกาได้พิพากษาจำคุก 4 ปีเหมือนเดิม
คดีนี้มีผู้ที่ตกเป็นจำเลย 13 คน แต่ไม่ได้มาฟังคำพิพากษา ที่มาฟังเพียงคนเดียวคือ นายศักดา นพฤทธิ์ รองเลขาธิการพรรคเพื่อชาติ ซึ่งเป็นจำเลยที่ 10
เอ่ยชื่อบรรดาแกนนำ นปช. ที่ถูกฟ้องร้องจำนวนหนึ่ง เช่น นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง นายนิสิต สินธุไพร นายพายัพ ปั้นเกตุ นายวรชัย เหมะ นายพิเชฐ สุขจินดาทอง นายวันชนะ เกิดดี นายศักดิ์ดา นพสิทธิ์ นายนพพร นามเชียงใต้ นายสำเริง ประจำเรือ นายสมยศ พรหมมา นพ.วัลลภ ยังตรง นายสิงทอง บัวชุม
พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภารัตน์ ส.ส.กำแพงเพชร จากพรรคพลังประชารัฐ
ปรากฏว่า นายสมยศนั้นศาลเห็นว่าไม่ได้เป็นแกนนำเพียงแต่เป็นผู้เข้าร่วมชุมนุมเท่านั้น จึงสั่งยกฟ้อง
มีผู้ต้องหาส่วนหนึ่งอีก 3 คน ได้หนีคดีไปก่อนหน้านี้
เมื่อผู้ต้องหาที่กระทำผิดแต่ไม่ได้มาฟังคำสั่งศาลจึงได้มีการออกหมายจับทันทีที่จะต้องไล่ล่าเอาตัวมาลงโทษต่อไป
นี่ก็เป็นคดีการเมืองอีกคดีหนึ่งที่สร้างความเสียหายต่อชื่อเสียงและเกียรติยศของประเทศ แต่บรรดาแกนนำที่ยุยงปลุกปั่นมวลชนต่างก็หนีศาล
เดินตามรอย “ลูกพี่” ที่หนีคดีไปก่อนหน้านี้อย่างลอยนวล.
“สายล่อฟ้า”