ให้อารมณ์บาดลึก เชือดเฉือนความรู้สึกกันแบบ “ซาดิสม์” นิดๆกับภาพที่ “การ์ตูนิสต์” ดัง นำเสนอผลงานภาพ “น้องปู” อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กำลังโชว์เมนูหรู กินปูทะเลฉลองกับพี่ชายอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร อย่างมีความสุข
ตัดฉากกับภาพ “กรงขัง” ที่นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ ยืนคอตก ภายหลังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง อ่านคำพิพากษาชั้นอุทธรณ์
คดีทุจริตระบายข้าวจีทูจี แก้คำพิพากษาให้จำคุกนายบุญทรง จำเลยที่ 2 เพิ่มอีก 6 ปี
รวมโทษจำคุกนายบุญทรงจากโทษเดิม 42 ปี เป็นจำคุกทั้งสิ้น 48 ปี
ขณะที่นายเดชนัฐวิทย์ เตริยาภิรมย์ บุตรชายนายบุญทรง ให้สัมภาษณ์น้ำตาคลอ ยอมรับพ่อค่อนข้างช็อกกับผลคำพิพากษา แต่ต้องยอมรับ เพราะถือว่าได้โอกาสพิสูจน์ตัวเองครั้งที่สอง ก็ดีมากแล้ว
ส่วนสุขภาพของนายบุญทรงหลังจากผ่าตัดไปหนึ่งรอบอาการดีขึ้น แต่ยังเหลือผ่าหลัง เนื่องจากอาการชาที่ขายังไม่หาย มีปัญหาเรื่องการเดินเล็กน้อย โดยพ่อย้ำว่าทำหน้าที่ทางการเมืองให้ดีที่สุดตามที่ตั้งใจ และเคยเตือนตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้ามาทำการเมืองแล้ว วันนี้มาให้กำลังใจ แต่ไม่ได้พูดอะไรกันมาก
มันคือ “วิบากกรรม” ที่สุดเจ็บปวดของคนตระกูล “เตริยาภิรมย์”
และเหนือไปกว่านั้น มันคือภาพเตือนใจบรรดา “หน่วยกล้าตาย” แทน “นายใหญ่” เห็นกันชัดๆ บทสุดท้ายของพวกที่ยอมเสี่ยงทุ่มสุดตัว ชนิดที่เอาตัวเข้าปกป้องด้วยประโยคสั้นๆ“กูพูดไม่ได้”
“บุญทรง” เลยต้องแบกรับชะตาหนักๆไปอีก 45 ปี
เรื่องของเรื่อง มันก็อย่างที่ “จอมแสบ” อย่างนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เปิดเผยว่า ตอนอยู่ในเรือนจำได้คุยกับนายบุญทรงที่ต่างไปเป็นคนละคนกับตอนอยู่สภาฯ และโดยประสบการณ์ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากยังเชื่อว่านายบุญทรงจะไม่ใช่รัฐมนตรีคนสุดท้ายที่เข้าคุก
...
พร้อมทั้งเตือนพวกนักการเมืองกลุ่มเสี่ยงทั้งหลาย ให้หัดนับวันลดหย่อนผ่อนโทษกันไว้
เพราะอาจต้องไปนับโทษในคุกเร็วๆนี้
ในห้วงสถานการณ์ที่สงครามพลิกขั้วอำนาจรอบใหม่กำลังตั้งป้อมลุยกันอีกรอบ ตามยุทธการเดินหน้ารื้อรัฐธรรมนูญฉบับ “ยันต์กันทักษิณ” ที่กำลังโหมโรงคึกคัก
อย่างไรก็ตาม ประเมินจากผล “นิด้าโพล” ล่าสุดกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ไม่เชื่อว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้วจะทำให้ภาวะเศรษฐกิจดีขึ้น ไม่อินไปกับมุกที่ “เสี่ยคลอสเตอร์” นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ผู้นำฝ่ายค้าน กับ “ไพร่หมื่นล้าน” นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่
ผลิตซ้ำวาทกรรม เศรษฐกิจแย่ ต้องแก้รัฐธรรมนูญ
ถึงวันนี้ชาวบ้านรู้ทัน แยกแยะออกระหว่าง “คนด่า” กับ “คนลงมือทำ” มันเหนื่อยยากต่างกัน
จุดสำคัญมันยังอยู่ที่เนื้องานที่สัมผัสจับต้องได้เมื่อเทียบกับเสียงวิจารณ์ลอยๆ โดยเฉพาะกับบทบาทของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ในฐานะเบอร์หนึ่งนั่งหัวโต๊ะ ครม.เศรษฐกิจ ที่ส่งซิกเปิดสัญญาณให้นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ เดินหน้าลุยอัดโปรโมชัน
เพิ่มปัจจัยดึงดูดนักลงทุนที่ย้ายฐานการผลิตหนีสงครามการค้า
ไล่บี้พวกขวางคลอง ทะลวงจุดที่เป็นอุปสรรค เปิดทางทีมหาเงินเข้าประเทศ
ล่าสุดนายสมคิด ได้เป็นประธานลงนามความร่วมมือการลงทุนและส่งเสริมสตาร์ตอัพ ขับเคลื่อน บริษัทอินโนสเปซ (ประเทศไทย) เพื่อเป็นเครื่องมือในการส่งเสริมสตาร์ตอัพไทยและยกระดับไทยเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมและสตาร์ตอัพของอาเซียนในอนาคต
“บิ๊กตู่” ใช้อำนาจเด็ดขาด ผ่าน “สมคิด” ที่เชี่ยวเชิงยุทธศาสตร์ทันโลก
นี่คือจุดที่ ครม.เศรษฐกิจของรัฐบาลยังสามารถประคองตัว เดินหน้าฝ่ามรสุมสงครามการค้าได้ ท่ามกลางทุ่นระเบิด
ทางการเมืองภายใน และขีปนาวุธ “fake news” ยุคข่าวลวง ข่าวปลอม
ถ้าไม่แกร่งจริง เศรษฐกิจพังพาบตามแรงเตะตัดขา “บิ๊กตู่” นานแล้ว
แนวโน้มแรงปะทะจากแนวร่วมทีมดูไบ วาทกรรมเศรษฐกิจแย่ต้องแก้รัฐธรรมนูญยังจุดไม่ติด
ปมล่อแหลมจริงๆในเชิงเศรษฐกิจของรัฐบาล “ประยุทธ์ ภาค 2” ณ นาทีนี้ มันแฝงอยู่ที่สถานการณ์ตามธรรมชาติของรัฐบาลผสมมากกว่า ในอารมณ์ที่ต่างพรรคต่างยึดเอากระทรวงในโควตาสนองยุทธศาสตร์การหาเสียงของตัวเองเป็นหลัก มากกว่าเดินตามยุทธศาสตร์ภาพรวมของประเทศ
ดึงคะแนนนิยม สะสมคลังกระสุน ตุนเสบียงเลือกตั้ง
ตามจังหวะชัดๆ กับปฏิบัติการโยกย้ายข้าราชการระดับสูง โดยเฉพาะในกระทรวงคมนาคม ที่อธิบดีกรมสำคัญที่คุมเมกะโปรเจกต์ขนาดใหญ่คืบหน้าไปมากในยุครัฐบาล “ประยุทธ์ ภาค 1” โดยไร้ข่าวทุจริตคอร์รัปชันหัวคิว มาถึง “รัฐบาลประยุทธ์ ภาค 2” ถูกสลับที่สลับทาง โดยที่ “บิ๊กตู่” นั่งมองตาปริบๆ
นั่นจึงทำให้องค์กรต่อต้านคอร์รัปชันหันกลับมาเฝ้าจับตาไม่กะพริบ
มันคือปรากฏการณ์อันตรายที่ “บิ๊กตู่” ต้อง “เด็ดขาด” สกัด “วาระเสี่ยง” ในด่าน ครม.เศรษฐกิจ
ขืนพลาด ปล่อยให้โดนจับทุจริต มันหมายถึงจุดจบรัฐบาล
พังได้ทั้งเกมในสภา หรือโดน “แอ่นแอ๊น” อัปเปหิ.
ทีมข่าวการเมือง