ถึงเวลาต้องเร่งขยับปรับทัพ จัดระเบียบ ส.ส.ขั้วรัฐบาลในสภาฯ ไม่ให้เสียงปริ่มน้ำ กระฉอกหาย พ่ายคิวโหวตซ้ำๆเหมือนเช่นในคิวพิจารณาร่างข้อบังคับการประชุมสภาฯ

แม้วิปรัฐบาลจะอ้างเป็นเรื่องภายในคณะกรรมาธิการฯ ความเห็นส่วนตัวของ ส.ส.แต่ละราย ไม่ใช่ขั้วรัฐบาลเสียงแตกจนแพ้โหวต

แต่ก็เป็นตัวอย่างชวนหวาดเสียวที่พรรคพลังประชารัฐต้องมีกัปตันมาจัดแถว

ถึงได้มีการใช้ “ตัวช่วยวีไอพี” ของผู้นำอย่าง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ จ่อขึ้นแท่นประธานยุทธศาสตร์พรรค นั่งคุมเกมจัดแถว เบรกแรงกระเพื่อมภายใน

และแน่นอน เพราะเสียงปริ่มน้ำ งานนี้เลยต้องเก็บละเอียด ล่าสุดสารพัดไอเดียเกี่ยวกับสภาฯพรูพรั่ง ส.ส.พลังประชารัฐ ขนวิทยุทรานซิสเตอร์ร่วม 10 เครื่องมาไว้สแตนด์บาย ยามอยู่นอกห้องประชุม

รอรับสัญญาณเรียกจากประธานในที่ประชุม ไม่ให้หลุดคิวลงมติ

ดูตลก ไอเดียขำๆ แต่วิทยุทรานซิสเตอร์ก็อาจเป็นอีกตัวช่วยคุมเสียงได้ชะงัด กับโปรแกรมที่กำลังทยอยเข้ามา ทั้งคิวฝ่ายค้านเพิ่งมีมติหมาดๆ ยื่นขอเปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่มีการลงมติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 เพื่ออภิปรายซักถาม เสนอแนะ พุ่งเป้าไปที่ปม “ถวายสัตย์ฯไม่ครบ”

ซ้อมย่อยก่อนเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ที่จองกฐินปลาย ก.ย.ระเบิดศึกซักฟอก

อีกด้านหนึ่ง ในภาวะเศรษฐกิจที่น่าเป็นห่วง นอกจากปัจจัยภายนอก สงครามการค้าระหว่างมหาอำนาจสหรัฐฯ-จีน บวกกับเหตุการณ์วุ่นวายที่ฮ่องกง ยังมีปัจจัยภายในอย่างปมการเมือง

กระทบต่อคิวแก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้องเหมือนกัน

อย่างที่ “บิ๊กตู่” ได้ฤกษ์นัดประเดิมประชุม ครม.เศรษฐกิจ จูนเครื่อง รมต.ต่างค่าย และเตรียมออกมาตรการอัดฉีดเป็นแผง ทั้งสานต่อสารพัดโปรเจกต์ประชารัฐ หว่านงบฯกระตุ้นท่องเที่ยว ฉุดราคาสินค้าการเกษตร อัดงบฯหมื่นกว่าล้านบาทบรรเทาภัยแล้ง

...

อีกทางหนึ่งก็ต้องเร่งหารายได้เข้าคลัง ในคิวอัดฉีดที่ต่อแถวรอ

นอกจากเร่งเบิกจ่ายในจุดที่เงินค้างท่อ ขณะเดียวกันต้องหัวหมุน แสวงหางบฯมาใช้จ่ายเพิ่มเติมชนิดที่สำนักงบฯยังออกอาการงงงัน โดยล่าสุดนายเดชาภิวัฒน์ ณ สงขลา ผอ.สำนักงบฯ ให้ข่าวการจัดทำกรอบวงเงินงบฯปี2563 วงเงิน 3.2 ล้านล้านบาท ขาดดุลเพิ่มเป็น 4.69 ล้านบาท

อ้างเพราะต้องปรับลดรายได้ 1.9 หมื่นล้านบาท เนื่องจาก กสทช.เปิดประมูลคลื่นความถี่ไม่ได้

เป็นข้อมูลจากสำนักงบฯที่ทำเอาตะลึงและงงงันกันทั่ว

เพราะที่รายได้หดหาย แทนที่จะไปแจกแจงเหตุ หรือพูดถึงหน่วยงาน ที่รับผิดชอบจัดเก็บรายได้ของรัฐ อาทิ กรมสรรพากร สรรพสามิต ศุลกากร แต่ดันโบ้ยไปที่ กสทช. โยงเน้นที่การประมูลคลื่นซะอย่างนั้น

ทั้งที่เปรียบแล้ว เงินจาก กสทช.ส่วนนี้น่าจะถือเป็น “รายได้พิเศษ” มีเรื่องของหลักเกณฑ์การใช้จ่ายเพื่อประโยชน์สาธารณะ และการส่งเงินเข้าคลัง

ที่สำคัญการประมูลคลื่นมีกระบวนการขั้นตอน ทั้งเรียกคืนคลื่นจากหน่วยงานที่ครอบครอง มีการคิดคำนวณการจ่ายค่าชดเชย ร่างแผนหลักเกณฑ์ และเปิดประมูล รวมทั้งไม่ได้จัดคิวเป็นงานรูทีนที่ต้องมีทุกปี

ไม่สามารถมั่วนิ่มเป็น “รายได้ประจำ” ล้วงจ่ายสะดวกอย่างที่ว่า

ไม่เท่านั้นที่สะท้อนถึงภาวะภัยแล้งในคลังประเทศ ชนิดต้องจัดงบฯขาดดุลเพิ่ม เร่งหาแหล่งเงินมารองรับสารพัดโปรเจกต์ โดยเฉพาะมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ

ล่าสุด ครม.เพิ่งมีมติเห็นชอบให้กระทรวงมหาดไทย แก้ระเบียบหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในส่วนของเงินรายได้สะสมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เพื่อนำมาใช้ลงทุนในโครงการท้องถิ่นต่างๆ

เปิดช่องล้วงงบฯสะสมก้อนโต 6 แสนล้านบาท อัดฉีดฐานรากทั่วไทย

เรียกว่าเป็นช่วงรัฐบาลเร่งจัดทัพงานในสภาฯ และอีกทางก็เตรียมพร้อมมาตรการอัดฉีดงบฯ รวมไปถึงสำรวจแหล่งระดมเสบียงเข้าคลัง

ใน 2 ไฟต์บังคับ คุมโจทย์การเมือง-แก้ปมเศรษฐกิจ.

ทีมข่าวการเมือง