ข่าวไม่สู้ดี อิทธิฤทธิ์พายุโซนร้อน “วิภา” ส่งผลให้ในหลายพื้นที่ของจังหวัดภาคตะวันออก จันทบุรี ระยอง ชลบุรี เกิดฝนตกลงมาอย่างหนัก และลมกระโชกแรง ต้นไม้หัก เสาไฟฟ้าโค่น บ้านเรือนประชาชนพัง ขณะที่ภาคเหนือฝนตกต่อเนื่อง เกิดน้ำป่าโคลนถล่ม ในจังหวัดน่าน พะเยา

แต่ข่าวดี สถานการณ์ภัยแล้งเริ่มผ่อนคลาย

โดยกรมอุตุนิยมวิทยา ระบุอิทธิพลจากพายุทำให้ฝนตกในภาคเหนือ ภาคอีสาน ทำให้ปริมาณน้ำเหนือเขื่อนไหลเข้าเติมน้ำในเขื่อนหลักอย่างเขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ อย่างต่อเนื่อง และยังมีพายุที่ก่อตัวในมหาสมุทรอีกนับสิบลูกที่จะส่งอิทธิพลให้ฝนตกในประเทศไทย

สภาวการณ์ขาดแคลนน้ำ ส่อไม่รุนแรงอย่างที่หวาดผวากัน

นั่นก็เป็นสถานการณ์เชิงบวกกับรัฐบาล “ประยุทธ์ ภาค 2” ไม่ต้องเจอโจทย์ปัญหาหนักๆเพิ่ม ในจังหวะที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เพิ่งประเดิมศักราชนั่งแท่นประชุม ครม. นัดแรก โดยมีอำนาจบริหารเต็มไม้เต็มมือตามรัฐธรรมนูญ

เดินหน้าเรือเหล็กทันที ไม่มีเวลาฮันนีมูน

เริ่มต้นด้วยการแบ่งงานรองนายกรัฐมนตรี ตามโพยหลักๆ ก็คือ “พี่ใหญ่” อย่าง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ กำกับดูแล กระทรวงมหาดไทย กระทรวงดิจิทัลฯ กระทรวงทรัพยากรฯ กระทรวงแรงงาน สำนักข่าวกรอง สภาความมั่นคงแห่งชาติ ฯลฯ

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ กำกับดูแล กระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการอุดมศึกษาฯ สภาพัฒน์ บีโอไอ อสมท ฯลฯ

นายวิษณุ เครืองาม กำกับดูแล กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงยุติธรรม นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ กำกับดูแลกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการพัฒนาสังคม กระทรวงเกษตรฯ นายอนุทิน ชาญวีรกูล กำกับดูแล กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงคมนาคม กระทรวงการท่องเที่ยวฯ

...

แบ่งตามสายงานถนัด และจัดสรรตามโควตาพรรคร่วมรัฐบาล

และโดยยุทธศาสตร์ต่อเนื่องกับการแบ่งงานรองนายกรัฐมนตรี ในคิวประชุม ครม.นัดแรกก็มีการตั้ง “ครม.เศรษฐกิจ” ฟื้นยุทธศาสตร์สมัยรัฐบาล “ป๋าเปรม” พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ บริหารได้ผลอย่างดี และอดีตรัฐบาลพรรคไทยรักไทยก็เคยนำโมเดลนี้มาใช้

เป็นการแก้ปมพรรคร่วมรัฐบาลที่แบ่งโควตากระทรวงเศรษฐกิจสำคัญไปดูแล

เพื่อให้ “ประสานงาน” มากกว่า “ประสานงา”

การเดินหน้าเรือเหล็กจะได้ไปในทิศทางเดียวกันไม่ใช่ต่างคนต่างแจว

และตามแนวโน้มที่ พล.อ.ประยุทธ์รับบทนั่งหัวโต๊ะเป็นประธาน ครม.เศรษฐกิจเอง ซึ่งนั่นก็หมายถึงการควบสถานะ “กัปตันทีมเศรษฐกิจ” ไปในตัว

ท่ามกลางเครื่องหมายคำถามเรื่องความชัวร์ แบบที่ฝ่ายค้านรีบเบิ้ลบลัฟดักทาง เย้ยถากถาง “นายกฯลุงตู่” มือไม่ถึง ไม่รู้เรื่องเศรษฐกิจ

ยากจะลากโจทย์ยากผ่านสถานการณ์วิกฤติได้

แต่เรื่องของเรื่อง ประเด็นหลักมันอยู่ที่การใช้อำนาจบริหารจัดการ อาศัยความเด็ดขาดของ พล.อ.ประยุทธ์คุมยุทธศาสตร์ ถืออำนาจเคาะโต๊ะสุดท้าย แทนกัปตันทีมเศรษฐกิจคนเดิมคือนายสมคิดที่สถานะเป็นรองนายกฯ เทียบเท่ากับรองนายกฯ ของพรรคร่วมรัฐบาล

อำนาจการสั่งการอาจเกิดความลักลั่น

ซึ่งจุดสำคัญจริงๆมันอยู่ตรงรายละเอียดในภาคปฏิบัติ การวางแผนการเชิงยุทธศาสตร์ ก็หนีไม่พ้นนายสมคิดนั่นแหละที่เป็นกระบี่มือหนึ่งทางเศรษฐกิจของรัฐบาล เป็นคนกำหนดทิศทาง

เดินตามที่รัฐบาล “ประยุทธ์ภาคแรก” วางแนวการพัฒนาเศรษฐกิจ ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี

ในมุมนี้ การที่ พล.อ.ประยุทธ์นั่งแท่นกัปตันทีมเศรษฐกิจเองจึงถือว่าลงตัวตามเงื่อนไขสถานการณ์

ขณะที่อีกด้านก็คือมุมของความมั่นคง ที่ “รัฐบาลประยุทธ์ ภาค 2” ได้มีการยกเครื่องใหญ่ โดย พล.อ.ประยุทธ์ ที่นั่งควบตำแหน่ง รมว.กลาโหมอีกตำแหน่ง

คุมแถว บัญชาการกองทัพด้วยตัวเอง

ไม่ใช่เท่านั้น ยังมีเซอร์ไพรส์แบบที่ พล.อ.ประยุทธ์ประกาศดึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติมาอยู่ในกำกับของนายกรัฐมนตรี และยังเหมารวมถึงกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ที่สังกัดกระทรวงยุติธรรม

กองทัพ ตำรวจ ดีเอสไอ หน่วยหลักอยู่ในคอนโทรลของ “บิ๊กตู่”

นายกฯกุมสภาพอำนาจความมั่นคงแบบเบ็ดเสร็จ

ตามเหตุผลที่อธิบายได้ตามเนื้อผ้า เป็นการช่วยแบ่งเบาภาระของ “พี่ใหญ่” อย่าง พล.อ.ประวิตร ที่มีปัญหาเรื่องสุขภาพ แบกรับงานหนักมากไม่ไหว

ต้องผ่องถ่ายกันตามเงื่อนไขไฟต์บังคับเรื่องสังขาร

แต่จากสถานการณ์ปัญหาที่ผ่านมา ปมร้อนๆการจัดการบริหารงบประมาณกองทัพ การจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ที่เกิดกระแสทุจริตหัวคิว ไม่ว่าจะเรือดำน้ำ รถถัง เฮลิคอปเตอร์ สร้างความไม่ไว้วางใจให้สังคม

นั่นไม่ฉาวเท่ากับภาพของสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ไม่สามารถเดินหน้าปฏิรูปได้ตามธงที่ คสช.ประกาศไว้ ตรงกันข้ามสถานการณ์ซื้อขายตำแหน่งกลับหนักหน่วงรุนแรงขึ้นทุกขณะ

ส่วนดีเอสไอก็โดนวิจารณ์ ถูกใช้เป็นเครื่องมือทำลายล้างขั้วตรงข้ามทางการเมือง คดีสำคัญๆไม่เดินหน้าติดปัญหากระบวนการสอบสวนไปได้ไม่สุด เพราะขัดขา ซ้ำซ้อนกับตำรวจ

ตามรูปการณ์ มิติการบริหารหน่วยความมั่นคงในห้วงรัฐบาล “ประยุทธ์ภาคแรก” ที่ “พี่ใหญ่” กำกับดูแล กระแสไม่ยอมรับแรงขึ้นตามลำดับ “นายกฯลุงตู่” จึงต้องใช้เครดิต ต้นทุนทางสังคมของตัวเอง

ดึง “ของร้อน” มาอยู่ในมือ คุมเกมงานด้านความมั่นคงด้วยตัวเอง

ยอมเสี่ยงกับการโดนไฟลวกมือ

และก็แบบที่เห็น ปรากฏการณ์ “ลองของ” ตั้งแต่ยังไม่ทันที่ พล.อ.ประยุทธ์จะเข้าให้นโยบายตำรวจ ก็มีรายการป่วนเมือง ทั้งคิวคนร้ายสร้างสถานการณ์วางวัตถุคล้ายระเบิดที่ด้านหน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ต่อเนื่องกับเหตุระเบิดป่วนเมืองอีกหลายจุดไล่เลี่ยกันทั้งที่ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ สถานีรถไฟฟ้าช่องนนทรี ฯลฯ

ตั้งใจดิสเครดิต ตบหน้าทีมความมั่นคงรัฐบาลใหม่กันชัดๆเลย

ตามเหตุจูงใจ “แยกไม่ออก” ระหว่างฝ่ายตรงข้ามอำนาจที่ต้องการหักหน้า พล.อ.ประยุทธ์ หรือพวกเดียวกันเองที่ไม่แฮปปี้กับการเกลี่ยอำนาจและผลประโยชน์ใหม่

พวกที่เคยได้เกาะขบวนอำนาจหากิน ต้องหลุดขบวน

ที่แน่ๆ มันคือชนวนระเบิดที่ต้องรีบควบคุมให้ได้โดยเร็ว เพราะนั่นหมายถึงความมั่นใจต่อการกุมสภาพอำนาจของ “บิ๊กตู่” ใน “รัฐบาลประยุทธ์ ภาค 2”

บททดสอบ “เบ็ดเสร็จ” แล้วเอาอยู่หรือเปล่า

โดยพฤติการณ์ “น้ำเน่า” ในหมู่พวกแสวงหาอำนาจและผลประโยชน์ ก่อเหตุซ้ำเติมสภาพการณ์ทางเศรษฐกิจ ไม่คำนึงถึงภาพลักษณ์บ้านเมือง ในห้วงการประชุมระดับรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนกับคู่เจรจา 31 ประเทศ ครั้งที่ 52 ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ

นี่คือจุดที่ “บิ๊กตู่” ต้องขึงขัง สั่งลากคอพวกป่วนเมืองมาให้ได้

ทั้งนี้ทั้งนั้น ในเบื้องต้นต้องยอมรับใน “ความตั้งใจจริง” ของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่กลับมาเบิ้ลเก้าอี้นายกฯ รอบสอง เพื่อต้องการบริหารต่อเนื่อง มุ่งผลสัมฤทธิ์ในการนำประเทศไปสู่จุดหมายปลายทาง

และสังเกตรอบนี้ผู้นำท็อปบูตที่เปลี่ยนเป็นผู้นำเลือกตั้ง ได้ทำการบ้านมาเป็นอย่างดี กล้าอุ้มเผือกร้อน ทั้งบทเป็นกัปตันทีมเศรษฐกิจและเบอร์หนึ่งคุมความมั่นคง

มันคือจุดที่ล็อกสถานะผู้นำ “ลอยตัว” ไม่ได้

เหนืออื่นใด กับช็อตไฮไลต์ที่ พล.อ.ประยุทธ์ พูดเสียงเข้มกลางฟลอร์ประชุม ครม.นัดแรก

ห้ามทุจริตอย่างเด็ดขาด

บล็อกเชื้อบาดทะยักคอร์รัปชัน “ลงยันต์” ป้อง “จุดตาย” รัฐบาล

“นายกฯ ลุงตู่” ได้คะแนนความตั้งใจไปเต็มๆ เทียบกับบทเข้มๆ สถานการณ์อีกด้าน พรรคเพื่อไทย พรรคอนาคตใหม่ แท็กทีม 7 พรรคร่วมฝ่ายค้าน ก็เดินยุทธศาสตร์ประกบตีคู่ มีการประชุมมอบหมายบทบาทในการทำหน้าที่ร่วมกับภาคประชาชน ตรวจสอบการทำงานของทีม “ประยุทธ์ ภาค 2”

ตีปี๊บทางออกวิกฤติชาติ เบิ้ลบลัฟการบริหารของรัฐบาล

ตามฉากที่ “เจ๊หน่อย” คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เจ้าแม่เมืองกรุง เดินสายเหน็บทีมของ “บิ๊กตู่” กระตุกปมเศรษฐกิจเป็นระยะ แว่วๆ รอจังหวะเลือกตั้งซ่อมจากคิวที่ ส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทยส่อโดนคดีแจ้งบัญชีทรัพย์สินเท็จหลุดเก้าอี้ เป็นโอกาสดีที่ “เจ๊หน่อย” ได้ลุ้นเข้าสภา

ส่วนทีมอนาคตใหม่ ด้านหนึ่งนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ เดินสายโรดโชว์ “กึ๋น” ผู้นำรุ่นใหม่นอกสภา ขณะที่ในสภา ลูกทีมอย่างนายปิยบุตร แสงกนกกุล น.ส.พรรณิการ์ วานิช โดยเฉพาะนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ก็ได้รับเสียงชมจากการโชว์บทอภิปรายอย่างสร้างสรรค์

บรรยากาศของการเมืองหน้าใหม่ ที่กำลังเข้าสู่โหมดปฏิรูป

หมดยุคน้ำเน่า พวกโบราณเอาแต่อำนาจและผลประโยชน์.

“ทีมการเมือง”